-
จิตเป็นกระบวนการทำงานของสมอง ที่รับรู้สิ่งต่างๆทั้งภายในและภายนอกร่างกาย มีกระบวนการ รู้ จำ คิด รู้สึก ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าขนาดต่ำ หรืออาจกล่าวได้ว่าจิตเป็นพลังงานนั้นเอง การฝึกจิตจึงเป็นกระบวนการฝึกใช้สมองควบคุมกระบวนการทำงานของสมอง พลังจิต เป็นพลังสมองที่ฝึกให้เกิดผลขึ้น เช่น การฝึกเพื่อมีพลังจิตคุ้มครองตนและสิ่งที่ต้องการ(วัตถุมงคล,บุคคล), การฝึกเพื่อสำแดงฤทธิผลาดแผลงสยบศัตรู และให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา,การสะกดจิตควบคุมความคิดบำบัดอาการและรักษาโรค
- พลังจิตที่สำคัญที่สุดคือการฝึกเพื่อให้เกิดความฉลาดรู้แจ้งเห็นจริง(ปัญญา:ญาณทัสนะ)รอบรู้ทุกสรรพสิ่งจนถึงขั้นพ้นความทุกข์อยู่เหนือโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอมตะซึ่งจะเรียกว่าอยู่กับพระเจ้า หรือ นิพพาน สงบเย็นก็ได้
- การใช้พลังจิตในทางที่ผิดจะก่อเภทภัยแก่ตนเอง การใช้พลังทำลายล้างก่อเวรกรรมดังเช่นผู้ใช้ไสยเวทในทางที่ผิดมักประสบเคราะห์กรรมไม่ตายดี ไสยเวทย์เป็นการใช้พลังจิตผ่านคาถาอาคมหรือเวทย์มนตร์ การท่องคาถานั้นจัดเป็นการรวบรวมพลังจิตเพื่อใช้ให้เกิดผลที่ตนต้องการมักเป็นไปในทางไม่ดีเนื่องจากไม่ทราบเหตุผลแห่งการกระทำที่แท้จริงจึงเรียกเวทมนต์ของผู้ไม่รู้หรือผู้หลับไหล ส่วนพุทธมนต์เป็นคำสอนของผู้รู้ผู้ตื่น บทสวดเพื่อท่องจำวิธีปฏิบัติและคำสอนที่ช่วยให้ผู้สวดเข้าใจวิธีปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์และสามารถถ่ายทอดยังคนรุ่นต่อไป ดังนั้นผู้ฝึกพลังจิตควรมีความปกติ(ศีล)ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นเพื่อคุ้มครองตนและทำให้การฝึกจิตได้ง่ายหรือเกิดความฉลาดรอบรู้ วิธีการเอาชนะโดยไม่ใช้กำลังและการฆ่าฟันเบียดเบียนผู้อื่น รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นอมตะเหนือการเวียนว่ายตายเกิด
สรรพสิ่งมีสองด้านหากด้านใดมากไปก็แก้โดยเพิ่มด้านตรงข้าม เพื่อเข้าสู่สมดุลสภาวะปกติที่จิตสงบปรอดโปร่ง เย็นสบาย ไม่ร้อนรนด้วยสิ่งผูกรัดดังกล่าว จึงสามารถใช้จิตสร้างพลังงานที่ก่อให้เกิดฤทธิต่างๆได้โดยง่าย
3.รวบรวมพลังจิต เมื่อทำจิตให้เกิดสมาธินิ่งสงบจากความคิดต่างๆสร้างภาพในใจ(มโนภาพ) โดยกำหนดให้จิต คิดติดอยู่กับฐานที่กำหนด :ลมหายใจ ร่างกาย หรือวัตถุ เพ่ง วัตถุธาติ ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ ,สีเขียวแดงเหลืองขาว ,อากาศ ,ความสว่าง
4.สร้างพลังจิตให้แรงกล้า ด้วยการฝึกดังกล่าวจนมีสมาธิโดยไม่ต้องนั่งหลับตา มีจิตสงบนิ่งเข้มแข็งในทุกอิริยาบถของการเคลื่อนไหว ร่างกายเคลื่อนไหวแต่จิตหยุดนิ่งอยู่กับมโนภาพ(วัตถุ รูป)ที่เพ่ง เช่น เพ่งจนไม่ต้องเพ่งวัตถุอีกต่อไป ก็สามารถกำหนด ให้เห็นดิน น้ำ ลม ไฟ สีต่าง อากาศ แสงสว่าง แม้ในเวลาหลับตาหรือลืมตาทุกอิริยาบถ การเพ่งกสิณ ทำให้เล่นฤทธิต่างๆ เช่น กำหนดให้เกิดน้ำ ฝนตกมีสีแดง(ฝนโบกขรณี) เกิดจากการเพ่งน้ำและสีแดง จนมีพลังควบคุมวัตถุธาตุให้เกิดน้ำสีแดงในอากาศ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงทำให้ญาติเกิดศรัทธาจากการเล่นฤทธิ
5.การใช้พลังจิต(สำแดงฤทธิ) พลังจิต(การใช้พลังไฟฟ้าสมอง)กำหนดและควบคุมสรรพสิ่งให้เป็นไปตามที่ต้องการ การปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าจากสมองผ่านหน้าผากสุ่ภายนอกเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการ เช่น๑.เกิดความฉลาดรู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง ฝึกคิดอย่างมีเหตุผล แก้ไขปัญหาคือความไม่รู้ด้วยการแสวงหาความรู้จริง เมื่อฝึกคิดมากขึ้นจะเกิดความชำนาญในการใช้ความคิดแก้ปัญหาเกิดความรอบรู้
- ๑.เกิดความฉลาดรู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง ฝึกคิดอย่างมีเหตุผล แก้ไขปัญหาคือความไม่รู้ด้วยการแสวงหาความรู้จริง เมื่อฝึกคิดมากขึ้นจะเกิดความชำนาญในการใช้ความคิดแก้ปัญหาเกิดความรอบรู้
- ๒.ควบคุมความคิด สะกดจิต การฝึกเริ่มจากมีสติระลึกรู้เรื่องที่คิด การเปลี่ยนแปลงของการคิดของตนเอง ฝึกสะกดจิตตนเองหรือควบคุมความคิดตนเองให้ได้ เช่นฝึกการคิดในเรื่องที่ต้องการ การเปลี่ยนความคิด การหยุดคิด ฝึกสะกดจิตตนเองให้หลับและตื่นในเวลาที่กำหนด เมื่อฝึกจนชำนาญจะมีสติดีและความคิดที่ดีขึ้นรวมทั้งพลังที่จะควบคุมความคิดตนเอง เมื่อสะกดจิตตนเองได้จึงฝึกสะกดจิตผู้อื่น หัดอ่านใจและสะกดจิตควบคุมความคิดผู้อื่นให้กระทำหรือคิดในสิ่งที่เราต้องการ การฝึกอ่านใจและสะกดจิตนำไปสู่การสื่อสารทางจิตซึ่งไม่ต้องใช้ภาษาพูดสื่อสารโดยตรงสู่สมอง
- ๓.อ่านจิตรู้ใจคน การฝึกเริ่มจากการหัดอ่านใจตนเอง ดูใจตนเอง หรือรู้ว่าตนคิดเรื่องใด เมื่อมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นเช่น รัก เศร้า เสียใจ โกรธ ดีใจ เป็นต้น และหัดอ่านภาษากายเมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ต่างๆเมื่อฝึกอ่านใจดูใจตนเองเป็นชำนาญแล้ว จึงเริ่มฝึกอ่านใจดูใจผู้อื่น ทดลองทายใจผู้อื่นว่าคิดอะไร จะพูดหรือทำอะไรและทำสิ่งนั้นจริงดังที่เราทายใจหรืออ่านใจหรือไม่ เมื่อฝึกบ่อยๆจะเกิดความชำนาญและมีพลังจิตที่สูงขึ้น
- ๔.ควบคุมมวลสาร,พลังงาน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทำให้เกิด ดิน น้ำ ลม ไฟ สี แสงสว่าง อากาศ จากพลังจิตซึ่งเป็นพลังของคลื่นไฟฟ้าในสมองเหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กและพลังงานระดับอะตอมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของธาตุต่างๆก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นลุกโซ่ต่อเนื่องจนเกิดการแปรเปลี่ยนของสิ่งแวดล้อมและวัตถุธาตุ การจะควบคุมได้ต้องเข้าใจความจริงการแปรเปลี่ยนของสรรพสิ่งอย่างมีเหตุและผล เมื่อมีพลังงาน ไฟเกิดขึ้นจะเกิดการเคลื่อนของลม เมื่อมีลมเกิดขึ้นจะเกิดการเคลื่อนของน้ำ เมื่อน้ำเคลื่อนจะเกิดการเคลื่อนไหวของดิน (โลกนี้แผ่นดินลอยอยู่บนของเหลว) พลังความร้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมวลสารอากาศ น้ำ ดินต่อเนื่องกัน นอกจากนี้การใช้พลังจิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของสสารต่างๆโดยตรงเมื่อพลังจิตมากเพียงพอ ฝึกสร้างภาพในใจ(มโนภาพ)ถึงสิ่งที่ต้องการ สร้างมโนภาพให้เด่นชัดและต่อเนื่องจากภายในใจสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อควบคุมสรรพสิ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเกิดขึ้นจริงจากมโนภาพนั้น
- ๕.ตาทิพย์มองเห็นอดีต หรืออนาคต การฝึกระลึกอดีตในปัจจุบันนึกย้อนกลับไปเป็นวัน สัปดาห์ เดือน ปี เพื่อระลึกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆในอดีตซึ่งเป็นการฝึกการฟื้นความทรงจำ เมื่อมีกำลังมากขึ้นจะย้อนระลึกถึงชาติก่อนได้ การฝึกให้เห็นอนาคตเริ่มจากปัจจุบัน มองไปถึงสิ่งที่กำหนดจะทำและทำให้เกิดขึ้นจริงในอนาคตที่กำหนดไว้จากวัน เดือน ปี ชาติต่อๆไป บางท่านเรียกการนั่งทางในเป็นการทำสมาธิสงบถึงระดับที่พอเหมาะและเห็นภาพในใจไม่ใช่ใช้ตาเนื้อเห็น
- ๖.หูทิพย์รู้และเข้าใจทุกภาษาแม้แต่ภาษาสัตว์หรือได้ยินเสียงระยะไกล ฝึกหัดจิตให้เข้าใจภาษากาย ที่แสดงอารมณ์และการสื่อสารต่างๆของคนและสัตว์ ฝึกให้ละเอียดจนคล้ายการอ่านใจ หัดฟังเสียงค่อยระยะใกล้ถึงระยะไกล ฝึกให้หูไวต่อเสียง และได้ยินเสียงจากระยะไกลออกไป(Telepathy)
6.ฝึกจิต(สมอง)พิจารณาความจริงทางธรรมชาติ เกิดปัญญาความฉลาด พิจารณาวัตถุธาตุทั้ง4,กาย รูปนาม(วัตถุ,พลังงาน),ไตรลักษณ์(อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา)สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ โลกหมุนทุกวันทุกสิ่งไม่หยุดนิ่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา,เกิดความรู้เพื่อละสังโยชน์ตัดเครื่องผูกมัดจิตไว้ในโลก (ละความคิดต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องราวทางโลก) เข้าสู่นิพพาน นิพพานอยู่ที่จิต (พลังจิตเป็็นพลังงานเช่นเดียวกับพลังงานที่มีในธรรมชาติ) นิพพานอยู่ทุกที่เมื่อใดจิตไม่อยากอยู่กับโลกก็จะเข้าสู่นิพพาน (พลังงานที่ไม่เปลี่ยนสภาพอีกต่อไป)
- ทฤษฎี รหัสธรรมชาติ(Natural source code theory) คำถามสิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบ สิ่งต่างๆทางธรรมชาติเกิดจากรหัสทางธรรมชาติที่มีรูปแบบ วิทยาศาสตร์เหมือนศาสนาใหม่ที่พยายามทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆทางธรรมชาติอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผลพิสูจน์ได้ตั้งต้นจากคิดทฤษฏีต่างๆขึ้นมากมายและมีการทดสอบหาคำตอบที่เป็นจริง ยังไม่มีทฤษฎีใดสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดทางธรรมชาติได้ทั้งหมด เรื่องของโลกที่นักคิดทั้งหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคิดและบางท่านรู้เรื่องจริงทางธรรมชาติ สามารถอธิบายเรื่องที่สลับซับซ้อนยากแก่การเข้าใจสำหรับคนทั่วไปในยุคนั้นโดยเปรียบทียบกับสิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน สิ่งที่พูดบางครั้งยากที่จะเชื่อเนื่องจากคนทั่วไปไม่ได้มีสติปัญญาสูงหรือฉลาดเท่าอัจฉริยบุคคลเหล่านั้นและการจำกัดด้วยภาษาที่จะสื่อสารไม่สามารถจะกำหนดสิ่งที่จับต้องไม่ได้ การนำหลักคำสอนหรือเรื่องต่างๆมาเรียบเรียงเป็นภาษาวิทยาศาสตร์เพื่อให้เข้าใจอย่างมีเหตุผลเป็นเรื่องที่ไม่ยากและแสดงให้เห็นสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นสอนเรื่องของธรรมชาติ
- รหัสทางธรรมชาติมีลักษณะเป็นลูกโซ่(Chain of code)ให้กำเนิดสิ่งต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรหัสของอีกสิ่งหนึ่งที่ควบคุมซึ่งกันและกัน อย่างมีรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่นองค์ประกอบของธาตุพื้นฐานDNAกำหนดลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบแตกต่างกัน ซึ่งรหัสDNAควบคุมการสร้าง โปรตีนที่สร้างองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การทำงานการตายของเซลล์ต่างๆที่ประกอบขึ้นเป็นอวัยวะ อวัยวะมีรหัสการทำงานและควบคุมซึ่งกันและกันประกอบขึ้นเป็นร่างกาย,สิ่งมีชีวิตถุกกำหนดด้วยรหัสพันธุกรรมที่ควบคุมการเกิด การเปลี่ยนรูปร่าง การคงอยู่ และการเสื่อมสลาย ตาย นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยธรรมชาติให้มีการให้กำเนิด เลี้ยงดู อาศัยซึ่งกันและกัน กินกัน ฆ่าฟันทำลายกัน ตาย เกิดเป็นรูปแบบวงจรที่เป็นรหัสจากระดับพลังงาน วัตถุธาตุ อะตอม โมเลกุล เซลล์ อวัยวะ ร่างกาย สังคมสัตว์ ระบบนิเวศน์ ระบบสุริยจักรวาล มีรุปแบบเป็นรหัสที่กำหนดขึ้นจากรหัสเริ่มต้นทางธรรมชาติเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันไป เช่นเดียวกับสิ่งไม่มีชีวิต ความว่างเปล่า พลังงาน ธาตุ ดวงดาว ระบบดวงดาว มีการเกิด คงอยู่เปลี่ยนสภาพและแตกดับ
- สรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเกิดจากพลังงาน(Energy) ธาตุที่รวมตัวกันได้ก็เกี่ยวเนื่องกับพลังงาน การเปลี่ยนแปลงของพลังงานระดับธาตุ(Mass) อะตอม มีรหัสทางธรรมชาติ(Natural source code)ที่ควบคุมการกำเนิด (Genesis)คงอยู่(Regeneration) เสื่อมสลาย(Destruction) อย่างมีรูปแบบ(Pattern of process,program) การเข้าใจรหัสมากมาย จะสามารถควบคุมรหัสทางธรรมชาติ ซึ่งควบคุมพลังงานที่ก่อกำเนิด แปรเปลี่ยนและทำลาย ซึ่งควบคุมทุกสรรพสิ่ง สร้าง ทำลาย เปลี่ยนรูปแบบของสิ่งต่างๆ
- รหัสทางธรรมชาติมีมากมาย การเข้าใจรหัสที่ควบคุมพลังงานระดับธาตุ เป็นกุญแจสำคัญ ที่จะพัฒนาความรู้ต่อการกำเนิดของสิ่งต่างๆ ทางธรรมชาติ การควบคุมพลังงานระดับธาตุ กำเนิด เปลี่ยน ทำลาย ธาตุ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพยายามเข้าใจ การศึกษาพลังงานต่างๆที่มีมวลสาร (Quantum physic) มวลของพลังงาน ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจความจริงทางธรรมชาติ เรื่องที่ละเอียดยิ่งกว่าระดับมวลพลังงาน เป็นเรื่องของรหัสที่ควบคุมมวลพลังงาน ที่กำเนิดมวลสาร และพลังงานรูปแบบต่างๆ การกำเนิดจักรวาล ดวงดาว สิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิต พลังงาน พลังงานเปรียบเสมือนผลแห่งการควบคุมด้วยรหัสควบคุมพลังงานและตัวมวลพลังงานเองก็เป็นรหัสเช่นเดียวกันที่ใช้ควบคุมต่อเนื่องและเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ของสิ่งต่างๆ จากรหัสธรรมชาติ กำเนิด ควบคุม พลังงาน เป็นรหัส ควบคุมธาตุ กำเนิดอะตอม โมเลกุล ธาตุ สสารทั้งหลาย
ธรรมชาติกำเนิดจากรหัสธรรมชาติ สรรพสิ่งเกิดขึ้นอยางมีรูปแบบ ที่กำหนดด้วยรหัสทางธรรมชาติ การนำความรู้เรื่องรหัสธรรมชาติมาใช้ เช่นการควบคุมอายุ การเปลี่ยนรูปแบบวงจรการเกิด คงอยู่ ยับยั้งการเสื่อมสลาย อาจยืดอายุไขของสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ มิติหรือสภาพที่อยู่อาศัยและสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่างๆที่มีอยู่กลุ่มก้อนพลังงานชีวิต(Life force) และช่วยให้เข้าใจการใช้สิ่งที่เรียกว่าพลังจิต นึกคิดเป็นไปตามมโนภาพ เมื่อสามารถเข้าใจรหัสธรรมชาติที่ควบคุมทุกสรรพสิ่ง เปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่ง (Mind energy directly control Natural Source code to change everything in the way of Imagination)รหัสทางธรรมชาติต้นกำเนิดมาจากความว่างเปล่าที่ไม่ไร้ตัวตน เป็นกลุ่มพลังงาน การอยู่เหนือรหัสต่างๆ เป็นพลังงานที่ไม่แปรเปลี่ยนด้วยรหัสอีกต่อไปเป็นการสิ้นสุดของวงจรรหัสธรรมชาติ ที่เรียกว่าพ้นทุกข์
ติดต่อบูชา LINE : @mayakarnlanna