การฝึกฤทธิ์อำนาจพลังจิต พลังชีวิต รหัสพลังธรรมชาติอันศักดิ์สิทธิ์

การฝึกพลังจิต
การฝึกใช้พลังจิตเล่นฤทธิมีมานานตั้งแต่อดีตนับพันปี เป็นเรื่องจริงที่ไม่ต้องสงสัย จากอดีตนักบวชฤาษีโยคีจนถึงปัจจุบัน นักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ ศึกษาเรื่องพลังจิต โดยเฉพาะการนำพลังจิตมาใช้ บันทึกคัมภีร์ทางพุทธศาสนา่เขียนวิธีการฝึกจิตให้มีฤทธิ นึกคิดเป็นไปตามความต้องการ เรียกว่ามโนมยิทธิ อิทธิวิธี ดังเช่นตำราจิตตานุภาพ ,ทิพยอำนาจ,วิสุทธิมรรค,ไตรปิฎก อธิบาย วิธีการฝึกจิตอย่างละเอียดเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นอย่างมีเหตุผล
  • จิตเป็นกระบวนการทำงานของสมอง ที่รับรู้สิ่งต่างๆทั้งภายในและภายนอกร่างกาย มีกระบวนการ รู้ จำ คิด รู้สึก ซึ่งใช้พลังงานไฟฟ้าขนาดต่ำ หรืออาจกล่าวได้ว่าจิตเป็นพลังงานนั้นเอง การฝึกจิตจึงเป็นกระบวนการฝึกใช้สมองควบคุมกระบวนการทำงานของสมอง พลังจิต เป็นพลังสมองที่ฝึกให้เกิดผลขึ้น เช่น การฝึกเพื่อมีพลังจิตคุ้มครองตนและสิ่งที่ต้องการ(วัตถุมงคล,บุคคล), การฝึกเพื่อสำแดงฤทธิผลาดแผลงสยบศัตรู และให้เกิดความเลื่อมใสศรัทธา,การสะกดจิตควบคุมความคิดบำบัดอาการและรักษาโรค
  • พลังจิตที่สำคัญที่สุดคือการฝึกเพื่อให้เกิดความฉลาดรู้แจ้งเห็นจริง(ปัญญา:ญาณทัสนะ)รอบรู้ทุกสรรพสิ่งจนถึงขั้นพ้นความทุกข์อยู่เหนือโลกแห่งการเวียนว่ายตายเกิดเป็นอมตะซึ่งจะเรียกว่าอยู่กับพระเจ้า หรือ นิพพาน สงบเย็นก็ได้
  • การใช้พลังจิตในทางที่ผิดจะก่อเภทภัยแก่ตนเอง การใช้พลังทำลายล้างก่อเวรกรรมดังเช่นผู้ใช้ไสยเวทในทางที่ผิดมักประสบเคราะห์กรรมไม่ตายดี ไสยเวทย์เป็นการใช้พลังจิตผ่านคาถาอาคมหรือเวทย์มนตร์ การท่องคาถานั้นจัดเป็นการรวบรวมพลังจิตเพื่อใช้ให้เกิดผลที่ตนต้องการมักเป็นไปในทางไม่ดีเนื่องจากไม่ทราบเหตุผลแห่งการกระทำที่แท้จริงจึงเรียกเวทมนต์ของผู้ไม่รู้หรือผู้หลับไหล ส่วนพุทธมนต์เป็นคำสอนของผู้รู้ผู้ตื่น บทสวดเพื่อท่องจำวิธีปฏิบัติและคำสอนที่ช่วยให้ผู้สวดเข้าใจวิธีปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์และสามารถถ่ายทอดยังคนรุ่นต่อไป ดังนั้นผู้ฝึกพลังจิตควรมีความปกติ(ศีล)ไม่เบียดเบียนทำร้ายผู้อื่นเพื่อคุ้มครองตนและทำให้การฝึกจิตได้ง่ายหรือเกิดความฉลาดรอบรู้ วิธีการเอาชนะโดยไม่ใช้กำลังและการฆ่าฟันเบียดเบียนผู้อื่น รวมทั้งเข้าสู่ความเป็นอมตะเหนือการเวียนว่ายตายเกิด
จิต(สมอง)ที่ฝึกแล้วมีพลังที่สามารถควบคุมทุกสรรพสิ่งทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ทั้งมวลสารและพลังงาน ควบคุมการ เปลี่ยนแปลงพลังงานและมวลสารตามความต้องการ เป็นได้ดังใจนึกคิด(มโนมยิทธิ) และสามารถแสดงฤทธิ (อิทธิวิธี)
– ความฉลาดรอบรู้ พ้นทุกข์
– ตาทิพย์เห็นอดีต อนาคต เหตุผล
– หูทิพย์
– อ่านใจคน
– ควบคุมสะกดจิตผู้อื่น
– ควบคุมเปลี่ยนแปลงวัตถุธาตุ มวลสารและพลังงาน
– เคลื่อนย้ายวัตถุ
– เหาะเหิรเดินอากาศ เดินบนน้ำ เดินผ่านวัตถุ หายตัว
– สื่อสารทางจิต
ขั้นตอนการฝึก
1.ควบคุมความคิดให้สงบจากเคลื่อนไหวของร่างกายและจิตใจที่ไม่หยุดนิ่ง มีสติรู้เท่าทันต่อความคิดต่างๆที่เกิดขึ้น หยุดการคิดปรุงแต่งที่ต้องใช้พลังงาน ด้วยการนั่ง นอนหรืออิริยาบถที่สะดวก ฝึกในสถานที่สงบเหมาะสมกับตนเอง การฝึกสมาธิ(Meditation)มีสติรู้สึกตัว รู้ว่าคิดเรื่องอะไรหรือไม่คิด

2.ทำจิต(สมอง)ให้ปรอดโปร่งจากสิ่งดึงรั้งคืออารมณ์ต่างๆที่ไม่น่าปราถนา
แก้ไขอารมณ์ที่ทำให้สูญเสียพลังไปกับการคิดต่างๆที่ไม่เกิดประโยชน์ โดยคิดในทางตรงข้าม
– แก้ความโกรธด้วยความรัก
– แก้ความสงสัยด้วยศรัทธาความเชื่อที่ดีและถูกต้อง
– แก้ราคะสุภะด้วยวิราคะ อสุภะ
– แก้ความง่วงด้วยการตื่น(เพ่งแสงสว่าง)
– แก้ความฟุ้งซ่านด้วยความสงบ

สรรพสิ่งมีสองด้านหากด้านใดมากไปก็แก้โดยเพิ่มด้านตรงข้าม เพื่อเข้าสู่สมดุลสภาวะปกติที่จิตสงบปรอดโปร่ง เย็นสบาย ไม่ร้อนรนด้วยสิ่งผูกรัดดังกล่าว จึงสามารถใช้จิตสร้างพลังงานที่ก่อให้เกิดฤทธิต่างๆได้โดยง่าย

3.
รวบรวมพลังจิต เมื่อทำจิตให้เกิดสมาธินิ่งสงบจากความคิดต่างๆสร้างภาพในใจ(มโนภาพ) โดยกำหนดให้จิต คิดติดอยู่กับฐานที่กำหนด :ลมหายใจ ร่างกาย หรือวัตถุ เพ่ง วัตถุธาติ ดิน,น้ำ,ลม,ไฟ ,สีเขียวแดงเหลืองขาว ,อากาศ ,ความสว่าง

4.สร้างพลังจิตให้แรงกล้า ด้วยการฝึกดังกล่าวจนมีสมาธิโดยไม่ต้องนั่งหลับตา มีจิตสงบนิ่งเข้มแข็งในทุกอิริยาบถของการเคลื่อนไหว ร่างกายเคลื่อนไหวแต่จิตหยุดนิ่งอยู่กับมโนภาพ(วัตถุ รูป)ที่เพ่ง เช่น เพ่งจนไม่ต้องเพ่งวัตถุอีกต่อไป ก็สามารถกำหนด ให้เห็นดิน น้ำ ลม ไฟ สีต่าง อากาศ แสงสว่าง แม้ในเวลาหลับตาหรือลืมตาทุกอิริยาบถ การเพ่งกสิณ ทำให้เล่นฤทธิต่างๆ เช่น กำหนดให้เกิดน้ำ ฝนตกมีสีแดง(ฝนโบกขรณี) เกิดจากการเพ่งน้ำและสีแดง จนมีพลังควบคุมวัตถุธาตุให้เกิดน้ำสีแดงในอากาศ ดังเช่นที่พระพุทธเจ้าทรงทำให้ญาติเกิดศรัทธาจากการเล่นฤทธิ

5.การใช้พลังจิต(สำแดงฤทธิ) พลังจิต(การใช้พลังไฟฟ้าสมอง)กำหนดและควบคุมสรรพสิ่งให้เป็นไปตามที่ต้องการ การปล่อยคลื่นกระแสไฟฟ้าจากสมองผ่านหน้าผากสุ่ภายนอกเพื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงตามที่ต้องการ เช่น๑.เกิดความฉลาดรู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง ฝึกคิดอย่างมีเหตุผล แก้ไขปัญหาคือความไม่รู้ด้วยการแสวงหาความรู้จริง เมื่อฝึกคิดมากขึ้นจะเกิดความชำนาญในการใช้ความคิดแก้ปัญหาเกิดความรอบรู้

  • ๑.เกิดความฉลาดรู้แจ้งทุกสรรพสิ่ง ฝึกคิดอย่างมีเหตุผล แก้ไขปัญหาคือความไม่รู้ด้วยการแสวงหาความรู้จริง เมื่อฝึกคิดมากขึ้นจะเกิดความชำนาญในการใช้ความคิดแก้ปัญหาเกิดความรอบรู้
  • ๒.ควบคุมความคิด สะกดจิต การฝึกเริ่มจากมีสติระลึกรู้เรื่องที่คิด การเปลี่ยนแปลงของการคิดของตนเอง ฝึกสะกดจิตตนเองหรือควบคุมความคิดตนเองให้ได้ เช่นฝึกการคิดในเรื่องที่ต้องการ การเปลี่ยนความคิด การหยุดคิด ฝึกสะกดจิตตนเองให้หลับและตื่นในเวลาที่กำหนด เมื่อฝึกจนชำนาญจะมีสติดีและความคิดที่ดีขึ้นรวมทั้งพลังที่จะควบคุมความคิดตนเอง เมื่อสะกดจิตตนเองได้จึงฝึกสะกดจิตผู้อื่น หัดอ่านใจและสะกดจิตควบคุมความคิดผู้อื่นให้กระทำหรือคิดในสิ่งที่เราต้องการ การฝึกอ่านใจและสะกดจิตนำไปสู่การสื่อสารทางจิตซึ่งไม่ต้องใช้ภาษาพูดสื่อสารโดยตรงสู่สมอง
  • ๓.อ่านจิตรู้ใจคน การฝึกเริ่มจากการหัดอ่านใจตนเอง ดูใจตนเอง หรือรู้ว่าตนคิดเรื่องใด เมื่อมีอารมณ์ต่างๆเกิดขึ้นเช่น รัก เศร้า เสียใจ โกรธ ดีใจ เป็นต้น และหัดอ่านภาษากายเมื่อร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงไปตามอารมณ์ต่างๆเมื่อฝึกอ่านใจดูใจตนเองเป็นชำนาญแล้ว จึงเริ่มฝึกอ่านใจดูใจผู้อื่น ทดลองทายใจผู้อื่นว่าคิดอะไร จะพูดหรือทำอะไรและทำสิ่งนั้นจริงดังที่เราทายใจหรืออ่านใจหรือไม่ เมื่อฝึกบ่อยๆจะเกิดความชำนาญและมีพลังจิตที่สูงขึ้น
  • ๔.ควบคุมมวลสาร,พลังงาน และทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมต่างๆ ทำให้เกิด ดิน น้ำ ลม ไฟ สี แสงสว่าง อากาศ จากพลังจิตซึ่งเป็นพลังของคลื่นไฟฟ้าในสมองเหนี่ยวนำการเปลี่ยนแปลงสนามแม่เหล็กและพลังงานระดับอะตอมจนเกิดการเปลี่ยนแปลงโมเลกุลของธาตุต่างๆก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่เป็นลุกโซ่ต่อเนื่องจนเกิดการแปรเปลี่ยนของสิ่งแวดล้อมและวัตถุธาตุ การจะควบคุมได้ต้องเข้าใจความจริงการแปรเปลี่ยนของสรรพสิ่งอย่างมีเหตุและผล เมื่อมีพลังงาน ไฟเกิดขึ้นจะเกิดการเคลื่อนของลม เมื่อมีลมเกิดขึ้นจะเกิดการเคลื่อนของน้ำ เมื่อน้ำเคลื่อนจะเกิดการเคลื่อนไหวของดิน (โลกนี้แผ่นดินลอยอยู่บนของเหลว) พลังความร้อนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมวลสารอากาศ น้ำ ดินต่อเนื่องกัน นอกจากนี้การใช้พลังจิตก่อให้เกิดการเปลี่ยนสภาพของสสารต่างๆโดยตรงเมื่อพลังจิตมากเพียงพอ ฝึกสร้างภาพในใจ(มโนภาพ)ถึงสิ่งที่ต้องการ สร้างมโนภาพให้เด่นชัดและต่อเนื่องจากภายในใจสู่สิ่งแวดล้อมภายนอก เพื่อควบคุมสรรพสิ่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจนเกิดขึ้นจริงจากมโนภาพนั้น
มโนภาพของแสงสว่างในใจทำให้เกิดแสงสว่างในความมืดมองเห็นในที่มืด มโนภาพของลมทำให้วัตถุเคลื่อนไหวเช่นกิ่งไม้,ธงไหวทำให้เกิดลมพัด เคลื่อนย้ายวัตุถุและคน เกิดการเหาะลอยไปในอากาศ, มโนภาพของไฟที่ทำให้เกิดเปลวไฟเกิดเพลิงไหม้,มโนภาพของน้ำที่ทำให้เกิดน้ำหรือฝนตก มโนภาพของดินที่ทำให้น้ำหรืออากาศแข็งตัวเป็นแผ่นดิน เดินบนน้ำหรืออากาศได้, มโนภาพของอากาศช่องว่างที่ทำให้วัตถุทึบกลายเป็นช่องว่างเดินทะลุผ่านกำแพง , มโนภาพของร่างกาย ทำให้การแปลงกายเปลี่ยนรูปร่างให้เป็นไปตามใจนึก การฝึกเริ่มจากง่ายไปหายาก จากการเพ่งภาพขณะลืมตาจนเกิดภาพในใจเด่นชัดและต่อมาฝึกให้เห็นภาพนั้นเมื่อหลับตาฝึกจนชำนาญสามารถเห็นภาพได้ทุกเวลาที่ต้องการในทุกอิริยาบถ เมื่อพลังจิตเข้มแข็งสร้างมโนภาพเปลี่ยนโลกให้เป็นไปตามมโนภาพที่กำหนด เกิดดิน น้ำ ลม ไฟ สี แสง ตามต้องการ จึงฝึกการเปลี่ยนธาตุหรือทำให้เป็นไปตามมโนภาพที่ต้องการ มโนภาพนั้นย่อมปกครองโลก
  • ๕.ตาทิพย์มองเห็นอดีต หรืออนาคต การฝึกระลึกอดีตในปัจจุบันนึกย้อนกลับไปเป็นวัน สัปดาห์ เดือน ปี เพื่อระลึกเรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่างๆในอดีตซึ่งเป็นการฝึกการฟื้นความทรงจำ เมื่อมีกำลังมากขึ้นจะย้อนระลึกถึงชาติก่อนได้ การฝึกให้เห็นอนาคตเริ่มจากปัจจุบัน มองไปถึงสิ่งที่กำหนดจะทำและทำให้เกิดขึ้นจริงในอนาคตที่กำหนดไว้จากวัน เดือน ปี ชาติต่อๆไป บางท่านเรียกการนั่งทางในเป็นการทำสมาธิสงบถึงระดับที่พอเหมาะและเห็นภาพในใจไม่ใช่ใช้ตาเนื้อเห็น
  • ๖.หูทิพย์รู้และเข้าใจทุกภาษาแม้แต่ภาษาสัตว์หรือได้ยินเสียงระยะไกล ฝึกหัดจิตให้เข้าใจภาษากาย ที่แสดงอารมณ์และการสื่อสารต่างๆของคนและสัตว์ ฝึกให้ละเอียดจนคล้ายการอ่านใจ หัดฟังเสียงค่อยระยะใกล้ถึงระยะไกล ฝึกให้หูไวต่อเสียง และได้ยินเสียงจากระยะไกลออกไป(Telepathy)
การจะยึดตำรานั้นไม่ดีเท่ากับการฝึกจริงดังที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้พิสูจน์ด้วยตนเอง ผู้มีความฉลาดจะสามารถฝึกสำเร็จ ค้นพบ ความมหัศจรรย์ทางจิตตามแนวศาสนาที่มีมาก่อนวิทยาศาสตร์และอยู่เหนือข้อจำกัดของวิทยาศาสตร์ในการพิสูจน์สิ่งที่มีอยู่จริงแต่จับต้องไม่ได้ ท้าทายความสามารถของนักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันที่จะทำเรื่องดังกล่าวให้เกิดขึ้นได้เช่นเดียวนักบวชในอดีต พลังจิตมีอยู่ในมนุษย์ทุกคนแต่จะรู้จักควบคุมและนำออกมาใช้หรือไม่

การฝึกจิตทำให้เข้าใจธรรมชาติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน กับธรรมชาติควบคุมและเปลี่ยนแปลงสภาพธรรมชาติได้ดั่งใจนึก พลังจิตใช้เพื่อป้องกันตน ปรับสภาพให้อยู่สบาย ฝึกกำลังจิตให้เข้มแข็งเช่นเดียวกับการออกกำลังกาย เป็นการออกกำลังจิตหรือออกกำลังสมอง และควรเข้าใจว่าผู้มีพลังจิตยังคงต้องประสบโลกธรรมเกิดแก่เจ็บตาย ฤทธิที่ดีและง่ายที่สุดที่ควรฝึกเป็นการฝึกให้เกิดความฉลาดรู้วิธีทางพ้นทุกข์

6.ฝึกจิต(สมอง)พิจารณาความจริงทางธรรมชาติ เกิดปัญญาความฉลาด พิจารณาวัตถุธาตุทั้ง4,กาย รูปนาม(วัตถุ,พลังงาน),ไตรลักษณ์(อนิจจัง,ทุกขัง,อนัตตา)สรรพสิ่งเปลี่ยนแปลงเสมอ โลกหมุนทุกวันทุกสิ่งไม่หยุดนิ่งเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา,เกิดความรู้เพื่อละสังโยชน์ตัดเครื่องผูกมัดจิตไว้ในโลก (ละความคิดต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องราวทางโลก) เข้าสู่นิพพาน นิพพานอยู่ที่จิต (พลังจิตเป็็นพลังงานเช่นเดียวกับพลังงานที่มีในธรรมชาติ) นิพพานอยู่ทุกที่เมื่อใดจิตไม่อยากอยู่กับโลกก็จะเข้าสู่นิพพาน (พลังงานที่ไม่เปลี่ยนสภาพอีกต่อไป)

การพัฒนาพลังจิตเพื่อเกิดประโยชน์ เป็นสิ่งที่ต้องฝึกอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะสำเร็จ กระบวนการคิดและปฏิบัติดังกล่าวตั้งอยู่บนความจริงของเหตุและผลที่สามารถพิสูจน์ด้วยตนเอง หลักการทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันก็เป็นเช่นเดียวกับพุทธศาสตร์ที่มีวิธีการอธิบายสิ่งต่างๆอย่างมีเหตุผล จากเรื่องที่ยุ่งยากซับซ้อนทำให้เข้าใจได้อย่างง่ายและนำไปใช้ได้จริง
  • ทฤษฎี รหัสธรรมชาติ(Natural source code theory) คำถามสิ่งต่างๆเกิดขึ้นได้อย่างไร คำตอบ สิ่งต่างๆทางธรรมชาติเกิดจากรหัสทางธรรมชาติที่มีรูปแบบ วิทยาศาสตร์เหมือนศาสนาใหม่ที่พยายามทำความเข้าใจเรื่องราวต่างๆทางธรรมชาติอธิบายด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุผลพิสูจน์ได้ตั้งต้นจากคิดทฤษฏีต่างๆขึ้นมากมายและมีการทดสอบหาคำตอบที่เป็นจริง ยังไม่มีทฤษฎีใดสามารถอธิบายสิ่งที่เกิดทางธรรมชาติได้ทั้งหมด เรื่องของโลกที่นักคิดทั้งหลายตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันคิดและบางท่านรู้เรื่องจริงทางธรรมชาติ สามารถอธิบายเรื่องที่สลับซับซ้อนยากแก่การเข้าใจสำหรับคนทั่วไปในยุคนั้นโดยเปรียบทียบกับสิ่งที่เห็นในชีวิตประจำวัน สิ่งที่พูดบางครั้งยากที่จะเชื่อเนื่องจากคนทั่วไปไม่ได้มีสติปัญญาสูงหรือฉลาดเท่าอัจฉริยบุคคลเหล่านั้นและการจำกัดด้วยภาษาที่จะสื่อสารไม่สามารถจะกำหนดสิ่งที่จับต้องไม่ได้ การนำหลักคำสอนหรือเรื่องต่างๆมาเรียบเรียงเป็นภาษาวิทยาศาสตร์เพื่อให้เข้าใจอย่างมีเหตุผลเป็นเรื่องที่ไม่ยากและแสดงให้เห็นสิ่งที่บุคคลเหล่านั้นสอนเรื่องของธรรมชาติ
ธรรมชาติแรกเริ่มมี2สิ่ง ความว่างเปล่า(Space)กับกลุ่มพลังงาน(Energy) รหัสธรรมชาติ(Natural source code)มาจากแหล่งพลังงาน ที่เกิดขึ้นในความว่างเปล่า(Space) รหัสที่ควบคุมพลังงาน(Code of Energy formation)ก่อให้เกิดธาตุ(Mass)ซึ่งเกิดเป็นรหัสของการควบคุมพลังงาน(Source code) ,รูปแบบพลังงานควบคุม (Program,Pattern),การกำเนิด(Genesis) คงอยุ่(Regeneration) เสื่อมสลาย(Destruction) แปรเปลี่ยนสภาพ(Change)
  • รหัสทางธรรมชาติมีลักษณะเป็นลูกโซ่(Chain of code)ให้กำเนิดสิ่งต่างๆ สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นรหัสของอีกสิ่งหนึ่งที่ควบคุมซึ่งกันและกัน อย่างมีรูปแบบ ยกตัวอย่างเช่นองค์ประกอบของธาตุพื้นฐานDNAกำหนดลักษณะของสิ่งมีชีวิตที่มีรูปแบบแตกต่างกัน ซึ่งรหัสDNAควบคุมการสร้าง โปรตีนที่สร้างองค์ประกอบพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การทำงานการตายของเซลล์ต่างๆที่ประกอบขึ้นเป็นอวัยวะ อวัยวะมีรหัสการทำงานและควบคุมซึ่งกันและกันประกอบขึ้นเป็นร่างกาย,สิ่งมีชีวิตถุกกำหนดด้วยรหัสพันธุกรรมที่ควบคุมการเกิด การเปลี่ยนรูปร่าง การคงอยู่ และการเสื่อมสลาย ตาย นอกจากนี้สิ่งมีชีวิตที่ถูกกำหนดด้วยธรรมชาติให้มีการให้กำเนิด เลี้ยงดู อาศัยซึ่งกันและกัน กินกัน ฆ่าฟันทำลายกัน ตาย เกิดเป็นรูปแบบวงจรที่เป็นรหัสจากระดับพลังงาน วัตถุธาตุ อะตอม โมเลกุล เซลล์ อวัยวะ ร่างกาย สังคมสัตว์ ระบบนิเวศน์ ระบบสุริยจักรวาล มีรุปแบบเป็นรหัสที่กำหนดขึ้นจากรหัสเริ่มต้นทางธรรมชาติเป็นลูกโซ่ต่อเนื่องกันไป เช่นเดียวกับสิ่งไม่มีชีวิต ความว่างเปล่า พลังงาน ธาตุ ดวงดาว ระบบดวงดาว มีการเกิด คงอยู่เปลี่ยนสภาพและแตกดับ
  • สรรพสิ่งในธรรมชาติล้วนเกิดจากพลังงาน(Energy) ธาตุที่รวมตัวกันได้ก็เกี่ยวเนื่องกับพลังงาน การเปลี่ยนแปลงของพลังงานระดับธาตุ(Mass) อะตอม มีรหัสทางธรรมชาติ(Natural source code)ที่ควบคุมการกำเนิด (Genesis)คงอยู่(Regeneration) เสื่อมสลาย(Destruction) อย่างมีรูปแบบ(Pattern of process,program) การเข้าใจรหัสมากมาย จะสามารถควบคุมรหัสทางธรรมชาติ ซึ่งควบคุมพลังงานที่ก่อกำเนิด แปรเปลี่ยนและทำลาย ซึ่งควบคุมทุกสรรพสิ่ง สร้าง ทำลาย เปลี่ยนรูปแบบของสิ่งต่างๆ
  • รหัสทางธรรมชาติมีมากมาย การเข้าใจรหัสที่ควบคุมพลังงานระดับธาตุ เป็นกุญแจสำคัญ ที่จะพัฒนาความรู้ต่อการกำเนิดของสิ่งต่างๆ ทางธรรมชาติ การควบคุมพลังงานระดับธาตุ กำเนิด เปลี่ยน ทำลาย ธาตุ เป็นสิ่งที่พิสูจน์ได้ด้วยหลักการทางวิทยาศาสตร์ และเป็นสิ่งที่นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันพยายามเข้าใจ การศึกษาพลังงานต่างๆที่มีมวลสาร (Quantum physic) มวลของพลังงาน ยังไม่เพียงพอที่จะเข้าใจความจริงทางธรรมชาติ เรื่องที่ละเอียดยิ่งกว่าระดับมวลพลังงาน เป็นเรื่องของรหัสที่ควบคุมมวลพลังงาน ที่กำเนิดมวลสาร และพลังงานรูปแบบต่างๆ การกำเนิดจักรวาล ดวงดาว สิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชีวิต พลังงาน พลังงานเปรียบเสมือนผลแห่งการควบคุมด้วยรหัสควบคุมพลังงานและตัวมวลพลังงานเองก็เป็นรหัสเช่นเดียวกันที่ใช้ควบคุมต่อเนื่องและเกี่ยวเนื่องเป็นลูกโซ่ของสิ่งต่างๆ จากรหัสธรรมชาติ กำเนิด ควบคุม พลังงาน เป็นรหัส ควบคุมธาตุ กำเนิดอะตอม โมเลกุล ธาตุ สสารทั้งหลาย
เมื่อใดที่เข้าใจจุดกำเนิดดังกล่าว มนุษย์ก็จะพบความจริงที่ว่าพระเจ้าไม่ได้มีตัวตน เป็นเพียงสภาวะพลังงานในความว่างเปล่า และการเข้าใจรหัสที่มีไม่ถ้วนมากมายนั้นจะทำให้สามารถสร้างและควบคุมทุกสรรพสิ่งดุจเดียวกับพระเจ้า หรือจะพูดว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเพียงรหัสธรรมชาติ(God,Nirvana is the Natural source code)
คำสอนทางศาสนามาจากความจริงทางธรรมชาติที่ยากจะอธิบายด้วยข้อจำกัดของสติปัญญาและภาษา คำสอนนั้นไม่อาจทำให้เกิดความเข้าใจแก่คนทั่วไปด้วยเหตุผลต่อสรรพสิ่งทั้งหลาย และผู้ยึดคำสอนอาจเข้าใจผิดต่อสิ่งที่ศาสดาพยายามจะบอก ผู้ที่มีระดับสติปัญญาสูง จะสามารถเข้าใจเรื่องที่ละเอียดดังกล่าวไม่ยาก มนุษย์เองก็สงสัยและมีคำถามมากมายต่อการกำเนิดของตนเอง คำถามนี้มีคำตอบที่ง่ายๆที่จะอธิบายออกมาเป็นภาษาดังกล่าว สิ่งมีชีวิตกำเนิดขึ้นในรูปแบบต่างๆจากพลังงาน รหัสพลังงานทาง ธรรมชาตินั้นยิ่งใหญ่มาก เกินกว่าที่สิ่งมีชีวิตทั่วไปจะเรียนรู้ได้หมด รหัสทางธรรมชาติมีมากมาย หลายล้าน ล้าน ล้านรหัส มิติของสรรพสิ่งที่สร้างขึ้นซ้อนทับกันอยู่มากมายหลายมิติ ซึ่งรหัสนั้นมีรูปแบบซ้ำๆเป็นเสมือนวงจรของการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เกิด คงอยู่ แปรเปลี่ยน เสื่อมสลาย แตกดับ เราเข้าใจเพียงรูปแบบที่รหัสกำหนดขึ้น

ธรรมชาติกำเนิดจากรหัสธรรมชาติ สรรพสิ่งเกิดขึ้นอยางมีรูปแบบ ที่กำหนดด้วยรหัสทางธรรมชาติ การนำความรู้เรื่องรหัสธรรมชาติมาใช้ เช่นการควบคุมอายุ การเปลี่ยนรูปแบบวงจรการเกิด คงอยู่ ยับยั้งการเสื่อมสลาย อาจยืดอายุไขของสิ่งมีชีวิต ไม่ใช่เรื่องยากที่จะเข้าใจ มิติหรือสภาพที่อยู่อาศัยและสิ่งมีชีวิตรูปแบบต่างๆที่มีอยู่กลุ่มก้อนพลังงานชีวิต(Life force) และช่วยให้เข้าใจการใช้สิ่งที่เรียกว่าพลังจิต นึกคิดเป็นไปตามมโนภาพ เมื่อสามารถเข้าใจรหัสธรรมชาติที่ควบคุมทุกสรรพสิ่ง เปลี่ยนแปลงทุกสรรพสิ่ง (Mind energy directly control Natural Source code to change everything in the way of Imagination)รหัสทางธรรมชาติต้นกำเนิดมาจากความว่างเปล่าที่ไม่ไร้ตัวตน เป็นกลุ่มพลังงาน การอยู่เหนือรหัสต่างๆ เป็นพลังงานที่ไม่แปรเปลี่ยนด้วยรหัสอีกต่อไปเป็นการสิ้นสุดของวงจรรหัสธรรมชาติ ที่เรียกว่าพ้นทุกข์

 LINE : @mayakarnlanna

ติดต่อบูชา LINE : @mayakarnlanna

You cannot copy content of this page