-
นอกจากนี้ยังมีคำพยากรณ์ในยุคกรุงรัตนโกสินทร์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๑๐ อีก ๒ ฉบับ ฉบับหนึ่งแต่งในสมัยกรุงศรีอยุธยา อีกฉบับหนึ่งแต่งในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ แต่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันมาก อีกทั้งผู้แต่งก็เป็นเจ้าประคุณระดับสมเด็จด้วยกันทั้งสององค์ และชื่อก็ยังใกล้เคียงกันอีก
“มหากาฬ พาลยักษ์ รักมิตร สนิทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์จน ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาวศิวิไลซ์”
-
ก่อนหน้านั้นก็มีคำพยากรณ์ชะตาเมืองที่มีข้อความใกล้เคียงกันนี้อีกฉบับหนึ่ง ซึ่งแต่งขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยา โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ใย) หรือ “หลวงพ่อใย” ว่าเป็นอรหันต์องค์หนึ่งของกรุงศรีอยุธยา ได้พยากรณ์เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ไว้ ๑๐ รัชกาลคือ
-
ซึ่งแตกต่างจากของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี อยู่ ๕ ยุค คือฉบับของกรุงศรีอยุธยานี้นำมาเปิดเผยไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง ซึ่งพิมพ์เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๕ แจกจ่ายในหมู่ศิษยานุศิษย์ของ “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ” โดยนำคำบรรยายธรรมของท่าเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๘ เรื่อง “พยากรณ์กรุงรัตนโกสินทร์” มาพิมพ์มีข้อความตอนหนึ่งว่า
“…ในสมัยที่อาตมาอยู่กับหลวงพ่อปาน ปีนั้นจำได้ว่า เป็นปี พ.ศ.๒๔๘๐ หลวงพ่อปานไม่อยู่…กุฏิหลวงพ่อปาน กุฏิหลวงพ่อเล็ก ๒ กุฏินี้ไม่มีใครเขากล้าค้น…หนังสือในกุฏิหลวงพ่อเล็กมีมาก มี ๒ ตู้ใหญ่ๆ เป็นหนังสือสมุดข่อย สงสัยไปได้สมุดข่อยกะรุ่งกะริ่ง แต่มีใจความน่าคิด เอามานั่งอ่าน สนใจ หนังสือฉบับนั้นเขียนไว้ หนังสือขาด ข้อความก็ขาด เป็นอันว่า เป็นคำพยากรณ์ของพระอรหันต์สมัยอยุธยา พยากรณ์ไว้ตั้งแต่กรุงเทพฯยังไม่ปรากฏ
ในหนังสือนั้นเขาว่ายังงี้นา ถ้าโกหกก็โกหกด้วยกัน ถ้าหนังสือโกหก อาตมาก็โกหก แต่ไม่มีเจตนาโกหก พูดตามหนังสือนี่ จะปรับเป็นโทษก็ตามใจซีพ่อคุณ จะเอาเทวดาที่ไหนมาปรับก็เชิญเถอะพ่อคุณเอ๊ย…”และอีกตอนหนึ่ง
“…จนกระทั่งหลวงพ่อปานกลับมา ก็เข้าไปกราบเรียนท่าน เวลาที่ท่านว่างแขก สบายใจ ถามว่า หลวงพ่อขอรับ กระผมได้หนังสือนี้มาฉบับหนึ่ง แต่ทว่าข้อความมันขาดหายไปเสียหมด ปะติดปะต่อกันไม่ได้ แต่ข้อความจับใจมาก อยากทราบว่า หลวงพ่อทราบข้อความนี่ไหม หลวงพ่อก็ถามถึงข้อความจุดหนึ่ง อาตมาก็พูดให้ฟัง ท่านเลยบอกว่า มีลูกมี หนังสือฉบับนี้พ่อเห็นมาก่อนแล้วเหมือนกัน สมัยนั้นมันยังสมบูรณ์อยู่ แต่ทว่ามันผุเต็มที หนังสือนี้เป็นสมบัติของหลวงปู่คล้าย ท่านเอามาจากไหน หลวงพ่อก็ไม่ทราบเหมือนกัน ท่านก็เลยจ้างเขาเขียนไว้ในสมุดข่อยอีกเล่มหนึ่ง แล้วหลวงพ่อสั่งให้ไปหยิบหนังสือเล่มนั้นจากกุฏิของท่าน ท่านซุกไว้ใต้ตู้นาฬิกา เอาผ้าสีแดงห่อเข้าไว้”
- สมัยรัชกาลที่ ๑ ที่เป็นยุค “มหากาฬ” หรือ “มหากาฬผ่านมหายักษ์” นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ได้ทรงปราบปรามการจลาจลวุ่นวายในกรุงธนบุรีเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชวิกลจริต เกิดความขัดแย้งกันมาก จึงต้องใช้ความเด็ดขาดปราบปรามและปราบดาภิเษกขึ้นครองราชย์ ทรงสร้างความสงบสุขกลับมาสู่บ้านเมืองอีกครั้ง ผ่านความเลวร้ายครั้งใหญ่ของบ้านเมืองไปได้
- สมัยรัชกาลที่ ๒ นั้นไม่เหมือนกัน สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ใย) ว่าเป็นยุค “รู้จักธรรม” ส่วนสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) ว่าเป็นยุค “พาลยักษ์” สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) นั้นท่านมีชีวิตอยู่ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ด้วย ได้เห็นเหตุการณ์ที่เกิดอหิวาต์ระบาดครั้งรุนแรง ศพลอยเกลื่อนตามลำน้ำจนใช้อาบกินไม่ได้ บ้านเมืองเงียบสงบเหมือนเป็นเมืองร้าง เหมือนมียักษ์มารมาผลาญชีวิตผู้คนในพระนคร ส่วนสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ใย) ท่านว่า “รู้จักธรรม” เพราะพยากรณ์ไว้ว่าบ้านเมืองจะสงบ ทำให้พระสงฆ์มีเวลาสะสางพระไตรปิฎก ค้นคว้าพระธรรมวินัยมารวบรวมไว้
-
สมัยรัชกาลที่ ๓ สมเด็จโตท่านว่า “รักมิตร” แต่สมเด็จใยท่านว่า “จำต้องคิด”สมเด็จโตท่านมีชีวิตอยู่ในช่วงรัชกาลที่ ๓ ได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในยุคนี้ที่ชาวตะวันตกซึ่งหายไปจากเมืองไทยเมื่อสิ้นสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เริ่มกลับเข้ามาใหม่ ทั้งอังกฤษและอเมริกาได้ส่งทูตเข้ามาขอทำสัญญาพระราชไมตรี ทั้งไทยยังส่งทหารไปช่วยรบกับพม่าตามคำขอของอังกฤษ ส่วนที่สมเด็จใยพยากรณ์ไว้ว่า “จำต้องคิด” ก็ต้องถือว่าถูกอีก เพราะพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯทรงเห็นว่า การเปิดประตูประเทศให้ฝรั่งเข้ามาเพียงไม่กี่คนก็ยังก่อความวุ่นวายขึ้นมาก จะขอโน่นจะเอานี่ แม้แต่อังกฤษจะมอบดินแดนของพม่าที่ตีได้เมื่อไทยไปช่วยรบ ท่านก็ไม่รับ เพราะทรงเกิดความไม่ไว้ใจอังกฤษ ทรงเก็บเงินกำไรจากการค้าสำเภาใส่ถุงแดง รับสั่งว่า “เอาไว้ไถ่ประเทศ” ก็ได้ใช้ไถ่จริงๆจากฝรั่งเศส แม้ขณะประชวรหนักก่อนสวรรคตยังทรงเรียกพระยาศรีสุริยวงศ์ ขุนนางคนสนิท ไปเตือนสติไว้ว่า “การศึกข้างญวนข้างพม่าเห็นจะไม่มีแล้ว จะมีอยู่ก็แต่พวกข้างฝรั่ง ให้ระวังให้ดี อย่าให้เสียทีแก่เขาได้ การงานสิ่งใดของเขาที่คิดควรจะร่ำเรียนเอาไว้ก็ให้เอาอย่างเขา แต่อย่านับถือเลื่อมใสไปทีเดียว” ท่านทรงเห็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าวิตกเกิดในรัชสมัยของท่าน จึงทรงคิดหนัก
- รัชกาลที่ ๔ คำพยากรณ์ของสองสมเด็จตรงกันที่ว่า “สนิทธรรม” สมเด็จโตนั้นท่านเป็นคู่ถกคู่เทศน์กับพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวตั้งแต่ทรงผนวชจนขึ้นครองราชย์ จึงรู้แน่ว่ายุคนี้เป็นยุคสนิทธรรม แต่สมเด็จใยท่านพยากรณ์มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ไม่รู้ว่ากษัตริย์พระองค์ที่ ๔ ของกรุงรัตนโกสินทร์นั้นได้ทรงลาผนวชจากเจ้าอาวาสมาขึ้นครองราชย์ และยังเคร่งครัดทรงชุดขาวถือศีล ๘ ฟังธรรมทุกวันพระ ต้องถือว่าท่านแม่นจริงๆ
- รัชกาลที่ ๕ “จำแขนขาด” ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นยุคขมขื่นใจสำหรับราชอาณาจักรไทยอีกครั้งหนึ่งจากลัทธิล่าอาณานิคมของอังกฤษ ฝรั่งเศส ที่เข้ายึดครองประเทศรอบด้านเป็นอาณานิคม พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใช้นโยบายสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต จึงถูก ๒ มหาอำนาจเชือดเฉือนดินแดนไปรอบด้าน เหมือนจำต้องแขนขาด
- รัชกาลที่ ๖ สมเด็จโตท่านว่าเป็นยุค “ราษฎร์จน” แต่สมเด็จใยท่านว่าเป็นยุค “ราษฎร์ราชาโจร” ซึ่งความหมายก็ไม่ต่างกันนัก อธิบายความหมายกันไว้ว่า ในยุคนี้พระเจ้าอยู่หัวทรงมีน้ำพระทัยกว้างขวาง เมตตาต่อข้าราชบริพารเป็นพิเศษ ทำให้ข้าราชบริพารบางคนฉวยโอกาสกอบโกยความมั่งคั่ง จนเศรษฐกิจที่ต้องใช้พระราชทรัพย์มากในรัชกาลที่ ๕ มาแล้ว กลับทรุดหนักในรัชกาลนี้ ทำให้เกิดความยากจนในหมู่ราษฎร หรือเหมือนทรงเลี้ยงโจรปล้นราษฎร
- รัชกาลที่ ๗ สมเด็จโตท่านว่าเป็นยุค “ชนร้องทุกข์” แต่สมเด็จใยท่านว่าเป็นยุค “นั่งทนทุกข์” ซึ่งก็ไม่ต่างกันอีก ชนร้องทุกข์มีอธิบายความหมายไว้ เป็นยุคที่เศรษฐกิจทั่วโลกตกต่ำ ไทยก็ตกหนักจนถึงไม่มีเงินจ่ายข้าราชการ ต้องดุลข้าราชการออกเพื่อลดค่าใช้จ่าย เกิดความเดือดร้อนกันทุกหย่อมหญ้า ส่วนด้านการเมืองก็เกิดความคิดต่างกัน พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงอึดอัดพระทัยที่การเปลี่ยนแปลงไม่เป็นไปตามพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานพระราชอำนาจให้ถึงประชาชนโดยตรง จึงทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์เดียวของกรุงรัตนโกสินทร์ที่สละราชสมบัติ
- รัชกาลที่ ๘ “ยุคทมิฬ” เป็นยุคทมิฬทางการเมืองที่ใช้ความรุนแรงต่อกัน พ.อ.หลวงพิบูลสงคราม เพียงแค่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงในตอนนั้น ก็ถูกลอบยิงกลางสนามหลวง ยิงและวางยาพิษถึงในบ้าน แต่เมื่อไม่อาจสกัดดาวรุ่งได้ พอขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเผด็จการเต็มรูปแบบ จึงสั่งจับนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามกลุ่มใหญ่ในข้อหากบฏ ซึ่งศาลพิเศษก็ตัดสินประหารชีวิตนักการเมืองคนดัง ๑๘ คนรวด จากนั้นกรุงรัตนโกสินทร์ยังถูกข้าศึกโจมตีเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ สุดท้ายสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็สิ้นพระชนม์ด้วยกระสุนปริศนา ซึ่งยังไม่มีความกระจ่างจนวันนี้
- รัชกาลที่ ๙ “ถิ่นกาขาว” ตีความหมายว่าเป็นฝรั่ง ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นยุคที่มีฝรั่งเข้ามาเมืองไทยมากที่สุด นอกจากนักธุรกิจ ผู้เกษียณอายุที่มายึดเอาเมืองไทยเป็นเรือนตายแล้ว ยังมีนักท่องเที่ยวไหลบ่าเข้ามาอย่างมหาศาล จนเมืองไทยดังไปทั่วโลก รวมทั้งคนไทยก็พลอย “ฝรั่งจ๋า” ไปด้วย
- รัชกาลที่ ๑๐ ชาวศิวิไลซ์ คำนี้ออกจะเป็นฝรั่งไปหน่อย จากคำว่า ศิวิไลซ์เซชั่น ซึ่งในสมัยรัชกาลที่ ๔ ที่เริ่มเรียนภาษาอังกฤษกันแล้ว ก็คงเป็นคำที่รู้จักกันได้ หมายถึงความเจริญรุ่งเรืองสงบสุขร่มเย็น แต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยา สมเด็จใยท่านใช้คำว่า “ชาววิไล” ซึ่งหมายถึงความงาม ก็คงจะเป็นความหมายเดียวกัน
- หลายคนอาจสงสัยว่า ประเทศไทยจะมีถึงรัชกาลที่ ๑๐ เท่านั้นหรือ หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้บรรยายธรรมในครั้งที่นำมาพิมพ์นี้ด้วยว่า ท่านได้เรียนถามหลวงพ่อปานเหมือนกัน ซึ่งได้คำตอบว่า ประเทศไทยไม่ได้มีพระมหากษัตริย์แค่ ๑๐ พระองค์เท่านั้น แต่จะมีพระมหากษัตริย์อยู่คู่ประเทศไทยไปอีกจนกว่าโลกจะสลาย แต่เมื่อถึงรัชกาลที่ ๑๐ เป็นยุคชาววิไลแล้ว เป็นอันว่าจะสุขสบายด้วยประการทั้งปวง
ติดต่อบูชา LINE : @mayakarnlanna