ผู้เชี่ยวชาญทางวิญญาณ สามารถเรียกเทวดามาปรากฎให้เห็นได้

กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ผู้เชี่ยวชาญทางวิญญาน
สามารถเรียกเทวดามาให้ทอดพระเนตรได้
  • ในบรรดาเจ้านายโอรสกษัตริย์ มีอยู่พระองค์หนึ่งซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องวิญญาน สามารถติดต่อกับวิญญานได้ พระนิพนธ์ของพระองค์ท่าน ที่มีเชื่อเสียงเดี่ยวกับวิญญานสิ่งเร้นลับ ชื่อว่า
    ” เพรชในหิน “ ได้กล่าวถึงศาสตร์เรื่องนี้ไว้อย่างแจ่มแจ้ง

  • กิตติศัพท์ความสามารถของพระองค์รู้กันในวงการเจ้านาย และยังรู้กันว่า พระองค์อาจเชิญเทวดามาปรากฎตัวได้ พูดคุยด้วยได้ คราวหนึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใคร่จะทอดพระเนตรเทวดา จึงให้กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา ทำพิธีติดต่อกับเทวดาภายในพระราชวังบางปะอิน เรียกเทวดามาให้ปรากฎในห้องท้องพระโรง ท่ามกลางบรรยากาศอันขลังและมืด พระเจ้าแผ่นดินและเจ้านายหลายพระองค์ที่ร่วมอยู่ด้วย ก็ได้เห็นมือของเทวดาขนาดใหญ่ยื่นลงมาจากเพดานท้องพระโรง เป็นมืออันสวยประดับด้วยอัญมณีแพรวพราย และมีเสียงอันก้องท้องพระโรง เป็นเสียงเทวดาโดยไม่อาจกำหนดได้ว่ามาจากมุมใด หรือณ.ที่ใด ในท้องพระโรงด้วย

  • เรื่องการเห็นเทวดานี้ ผู้ที่ฝึกกรรมฐานอย่างชำนาญก็สามารถจะเห็นได้ ถ้ามีความชำนาญพอ กล่าวคือ เป็นการเห็นภายในมิใช่ตาเนื้อภายนอก เทวดาหรือโอปปาติกะใดๆ เมื่อมาปรากฎ จะมาเป็นจุดสว่างเล็ก ๆ เหมือนดวงดาว ขนาดเท่าเม็ดถั่วเขียว โดยปรากฎเบื้องหน้า แล้วจุดสว่างนั้นก็ค่อยๆ ขยายเป็นดวงกลม ๆ ขนาดใหญ่ขึ้นจนเห็นร่างโอปปาติกะอยู่ภายในดวงกลม ซึ่งจะใหญ่ขึ้นจนเท่าลูกเทนนิส จากนั้นดวงกลมนั้นก็หายไป จะปรากฎร่างที่เห็นในดวงกลมนั้นใหญ่เท่าขนาดคนจริง ๆ แต่การเชิญเทวดาหรือวิญญานมาให้ทุกคนได้เห็น ในท่ามกลางสมาคมของคนหมู่มากนั้น เป็นเรื่องที่ต้องอาศัยอำนาจจิตที่แก่กล้าของผู้เชิญ เท่าที่มีในบันทึกเป็นหลักฐานปรากฎ ก็เห็นจะมีเพียงกรณีของกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชาเพียงรายเดียวเท่านั้น

เรื่องวิญญานอันมาปรากฎในสมาธิครั้งแรก จะเป็นจุดเล็ก ๆ เป็นดวงสว่างจ้านั้น มีข้อยืนยันในข้อเขียนของท่านบ๋าวเอิง หลวงพ่อวัดญสนสะพานขาว ท่านเขียนไว้ในเรื่อง ” เจ้าพ่อกวนอูลุยไฟ “ มีตอนหนึ่งที่กล่าวถึงพิธีการนำดวงวิญญานนายฮ้วย แซ่หลือ มายังโคมสถิตวิญญานทิพย์ที่ทำด้วยกระดาษ

  • ” เมื่ออาตมาเข้าสมาธิเต็มที่แล้ว ก็มีนิมิตเห็นแสงสว่างจ้า ดุจดวงไฟฉายนั้นมีจุดเล็กๆ เคลื่อนที่ได้ใกล้เข้ามทุกๆ ที ครั้นเข้ามาใกล้ก็ค่อยๆ ปรากฎเป็นรูปร่างของมนุษย์สวมเสื้อกุยเฮง กางเกงปักดิ้นสีดำ ร่างผอมค่อมเล็กน้อย กิริยาที่เดินนั้น ค่อนข้างรีบร้อน เดินมาหยุดที่โคมวิญญานทิพย์ แล้ววูบหายเข้าไปทันที อาตมาจึงได้ประจักษ์ว่า พิธีกงเต๊กนี้มิใช่เรื่องเหลวไหล แต่เป็นการเชิญวิญญานคนตายมาได้จริงๆ ” เขียนโดย.. หลวงพ่อบ๋าวเอิง ( องค์สรภาณมธุรส ) อดีตเจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร ( วัดญสน สะพานขาว กทม. ) จากข้อเขียนของท่าน แสดงว่าท่านมีความเชี่ยวชาญในเรื่องกัมมัฏฐานด้วย วิญญานหรือโอปปาติกะที่มาปรากฎเป็นจุดสว่างเล็กๆ แล้วค่อยขยายใหญ่แบบปฎิภาคนิมิตนั้น อันที่จริงคือการค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้นนั้นมีสภาพเหมือนการพุ่งเข้ามาใกล้ แล้วดูใหญ่ขึ้นโดยแท้

  • จากข้อยืนยันของหลวงพ่อบ๋าเอิงนี้ ตรงกับข้อเท็จจริงของการปฎิบัติฝึกสมาธิในระดับต้น แรกที่โอปปาติกะจะปรากฎนั้นจะเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่าถั่วเขียว หรือลูกกอล์ฟ จากนั้น..จึงปรากฎเป็นร่างค่อยๆขยายใหญ่เท่าคนจริง

ข้อนี้จะเป็นการยืนยันในการกังขา ของคนที่ไม่รู้ความจริงว่า เหตุใดจึงสร้างศาลพระภูมิมีขนาดเล็ก วิญญานน่าจะอยู่ไม่ได้ การเข้าใจเช่นนั้นเนื่องด้วยเขาไม่ทราบถึงธรรมชาติอันแท้จริงของวิญญานว่า มีขนาดเป็นเพียงจุดเล็กๆ เท่านั้น เมื่อมาปรากฎตัว จึงต้องทำปฎิภาคนิมิตอันปรากฎให้เห็นนั้นใหญ่ขึ้น ตามขนาดของคนทั่วไป หรืออาจจะขนาดใหญ่กว่านั้นก็ได้ ดังที่กรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชาได้อัญเชิญเทวดาให้ปรากฎ ซึ่งเทวดาองค์นั้นท่านทำปฎิภาคนิมิต ให้เห็นเป็นเพียงมือขนาดมหึมา ยื่นลงมาจากเพดานท้องพระโรงในคราวนั้น

  • หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้เคยอัญเชิญวิญญาน หรือโอปปาติกะมาปรากฎบนหัวแม่มือได้ ซึ่งผู้ที่เคยไปดูพิธีมาแล้วเห็นกันทุกคน เป็นศรีษะผู้ตายอันมาปรากฎตัว มีขนาดเล็กเท่าหัวแม่มือ หลวงพ่อเล่าว่า ” เมื่ออาตมาประกอบพิธี เชิญวิญญานคนตายให้ปรากฎบนนิ้วหัวแม่โป้งมือ ให้ญาติคนตายได้เห็น ตอนแรกไม่กี่ราย แต่เล้าลือกันต่อๆไป ทำให้ต้องทำพิธีติดๆ กัน “

  • การเชิญวิญญานก็ใช้วิธีเดียวกันกับกงเต๊ก เมื่อวิญญานมาปรากฎแล้ว ก็ถามญาติพี่น้องว่า ใช่หรือไม่ ภาพที่ปรากฎบนหัวแม่มือเหมือนภาพในโทรทัศน์ ตอนแรกจะพร่าเลือนหายแล้วค่อยๆ สดใสขึ้น จนมองเห็นได้ชัดถนัด ถ้าญาติบอกว่าใช่ อาตมาก็จะถามว่า เชิญมาประทับทรงได้ไหม? ถ้าเขาพยักหน้าก็ทรงได้ ถ้าเขาไม่ทำอะไรเลย ก็เป็นอันว่าทรงไม่ได้
อาตมาเชิญวิญญานติดต่อกันหนักๆ เข้า วันหนึ่ง.. คนที่มาในการทรงวิญญานก็ล้มลง แล้วลุกขึ้นประกาศต่ออาตมาในที่ชุมชนนั้นว่า ” เราเจ้ากรุงพาลี ได้รับคำสั่งจากอิศารมหาเทพ ให้มาแจ้งแก่ท่านองค์บ๋าวเอิงว่า นับแต่นี้ไปอีกห้าเดือน จึงจะเชิญวิญญานใหม่ได้ ให้พุทธศาสนิกชนทุกคนบอกต่อกันไปว่า ให้ทำพิธีเชิญวิญญานผู้ล่วงลับไปแล้วด้วยพิธีกงเต๊กในงานศพเท่านั้น มิให้เชิญกันพร่ำเพรื่อไป ” เหตุที่เกิดก็เพราะ อาตมาเรียกวิญญานพร่ำเพรื่อ ด้วยเมตตาธรรมต่อญาติโยมทั้งหลายจริงๆ ทำให้เทวทูตไตรเทพที่มีหน้าที่ควบคุมวิญญานต้องวุ่นวาย และเดือนร้อนรำคาญเป็นอย่างยิ่ง อาตมาจึงหยุดทำการเรียกวิญญานไปห้าเดือนเต็ม “

     เรื่องเล่าจากอ.พลูหลวง

 LINE : @mayakarnlanna

ติดต่อบูชา LINE : @mayakarnlanna

You cannot copy content of this page