การใช้พลังจิตให้เกิดฤทธิ์

การใช้พลังจิตให้เกิดฤทธิ์
กำหนดรู้ ดู อยู่ภายในตัวตนของเรา ศึกษาความเป็นไปของจักรวาลภายในตัวเรา ในอาการต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา เจ็บ ปวด แสบ ร้อน จุก เสียด คันฯลฯ ทั้งภายในตัว และนอกผิวกาย เมื่อเรากำหนดรู้อยู่ภายในตัวของเราอยู่เป็นประจำ มันก็จะไปกระตุ้นสมองให้ทำการควบคุม สั่งการลงไป ตามอาการที่เกิดขึ้นในขณะนั้น จิตเข้าไปกำหนดรู้ ณ จุดนั้นๆ เมื่อจิตเรากำหนดรู้ลงไปในส่วนใดๆ ของร่างกาย พลังไฟฟ้าภายในตัวเรา หรือพลังของจิต ก็จะวิ่งไปรวมตัว ณ จุดจุดนั้น

อณูจิต ก็จะวิ่งไปรวมตัวกัน ตามที่จิตของเรากำหนดสั่งการลงไป ทำให้เซลล์หรือจุลชีวะในส่วนนั้น ถูกกระตุ้นให้ทำงาน ควบคุมดูแลจุลชีวะที่กลายเป็นมลพิษต่อร่างกาย (จิตชั่ว) พลังไฟฟ้าลบทำให้ร่างกายของเราในส่วนนั้นๆ เกิดการอ่อนแอลง เพราะเซลล์ หรือจิตดี(+) ของร่างกายเกิดภูมิคุ้มกันบนพร่อง ทำให้โครงสร้างพลังงานโดยรวมของร่างกายสูญเสียความสมดุล ไม่ทำงานได้เป็นปรกติ ซึ่งจิตทั้ง 152 ดวง ที่เป็นผู้ควบคุมดูแลอยู่ เราต้องกำหนดรู้(สติ) ลงไปณ. จุดนั้น ทำให้พลังของจิตไปผุดขึ้น ณ จุดนั้นเกิดเป็นจุดพลังอำนาจ เข้าไปเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้เกิดกับเซลล์ต่างๆ เพื่อที่จะกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กลับมามีสภาพที่สมบูรณ์ แข็งแรง เหมือนเดิม เป็นการช่วยรักษาโรคร้ายต่างๆ ซึ่งเป็นวิบากกรรมของจิต อณูจิต ซึ่งเรานำเข้าไปบำรุงหล่อเลี้ยง และสร้างพลังงานให้กับร่างกายของเรา เป็นการใช้เวร ใช้กรรม ให้กับวิบากจิต ที่เรากินมันเข้าไป

การกำหนดรู้ภายในตัวตนของเราในแต่ละครั้ง เราก็ต้องอาศัยธาตุเข้าไปโดยการสูดลมหายใจเข้าปอด แล้วก็กลืนลมหายใจนั้นเข้าไปเก็บไว้ในท้อง ทำให้เกิดพลังชีวิต หรือพลังสัมปาทานขึ้นภายในตัวเรา อากาศธาตุ หรือธาตุรู้ ตัวรู้ หรือพุทธิจิต โพธิปัญญา เมื่อเข้าสู่ร้างกายของเราแล้ว เขาก็จะเข้าไปควบคุมสั่งการจิตทั้ง 151 ดวง ที่ดูแลโครงสร้างจักรวาลภายในตัวเรา ให้ทำงานไปตามปรกติ

เมื่อธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ มีอากาศธาตุจากภายนอกเข้าไปผสม จะทำให้เกิดการเผาไหม้ขึ้นภายในร่างกายของเรา หรือเพิ่มพลังชีวิตจากคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าภายในตัวเรานั่นเอง มีทั้งบวก และลบ มีทั้งจิตดี และจิตชั่ว กลายเป็นพลังงานการเผาไหม้ หรือกลายเป็นดวงอาทิตย์ขนาดใหญ่ขึ้นภายในตัวเรา ไฟคือธาตุรู้ ซึ่งเกิดขึ้นจากอากาศธาตุ หรือมีตัวรู้เข้าไปผสม ไฟจะเข้าไปแผดเผา ทำลายล้างจุลชีวะ และจิตวิญญาน ( จิตชั่ว ) ซึ่งไม่มีความจำเป็นต่อร่างกายอีกต่อไป ให้ออกไปจากร่างกายด้วยวิธีต่างๆ เช่นจากระบบขับถ่าย อุจจาระ ปัสสาวะ เหงื่อ น้ำมูตรคูถ น้ำเหลือง น้ำมูก เสลดเสมหะต่างๆ ขี้หู ขี้ตา ขี้ไคล การลอกออกของเซลล์ผิวหนังชั้นนอก

เพียงแค่เราสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ ให้เต็มปอด แล้วกลืนลมหายใจเอาไว้ให้นานที่สุด เท่าที่จะทำได้ ก่อนที่จะปล่อยออกมาอย่างช้าๆ นั่นแหล่ะพลังจักวาล ฤทธิ์อำนาจของจิตก็จะเกิดขึ้นภายในตัวเรา เพียงแต่รอให้เรากำหนดรู้ หรือควบคุมสั่งการลงไป ณ. จุดนั้น โดยการโน้มนำสภาวะจิต อารมณ์จิต หรือความรู้สึกนึกคิดต่างๆ ของจิต กำหนดรู้ลงไป ตั้งจิตลงไปรับรู้ รับทราบในเวทนาเหล่านั้น เพื่อที่จะแผ่เมตตาหรือชดใช้วิบากกรรม ให้กับเจ้ากรรมนายเวร เจ้าบุญนายคุณของเรา ซึ่งกำลังส่งผล บ่อบอกอาการเจ็บปวดเมื่อยเนื้อเมื่อยตัว อาการคัน ปวดแสบปวดร้อน อยู่ภายในร่างกาย อึดอัดเร่าร้อนเผารนอยู่ภายในตัวของเรา นี่แหล่ะคือการชดใช้กรรม

นี่คือการเพ่งกสิณ หรือการกำหนดเข้าไปรับรู้อารมณ์ของร่างกาย ทำให้รู้สึกถึงเวทนานั้นๆ ว่ามันเจ็บปวด เมื่อยและปวดแสบปวดร้อนภายในตัวเรานั้น มันทรมารมากมายเพียงที่จิตของเราเคยก่อกรรมทำเข็ยเอาไว้แต่บะภพ แต่ละชาติ หรือการเกิดการดับของอาการต่างๆ ที่จะต้องเกิดขึ้นตั้งอยู่และแตกดับลงไป ในแต่ละวินาทีที่จิตของเราสามารถเข้าไปกำหนดรู้ได้ ว่าผลของกรรมที่กำลังส่งผลอยู่ภายในตัวเรานั้นมันทุกข์ มันทรมารเพียงใด

  • นี่แหล่ะคือกัมมัฏฐาน 40 อุบายจิต ที่ทำให้เกิดฤทธิ์อำนาจ ที่เราจะต้องนำมาใช้กับจักรวาลภายในตัวเรา เพื่อชำระล้างวิบากจิตให้หมดไปจากกาย แต่ส่วนใหญ่กลับนำฤทธิ์อำนาจจิตนี้ไปใช้ในทางสร้างภพสร้างชาติ ต่อวงจรการเวียนว่ายตายเกิดไม่จบไม่สิ้น คือนำไปใช้ทาง ลาภ ยศ สรรเสริญ ทางโลก มิได้ใช้ไปในทางหลุดพ้นรู้แจ้งเห็นจริง

สุดท้ายแล้ว .. ความหลุดพ้นของจิตมีเพียงทางเดียวเท่านั้น คือความมีสติ ความระลึกรู้ในการสำรวม กาย วาจา ใจ ของเราให้มันรู้จักหยุดนิ่ง รู้จักคำว่าพอเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สร้างสติให้เกิดขึ้นภายในจิต ให้จิตกำหนดรู้มีสติทุกอณูจิต ระลึกรู้ตลอดเวลา การกระทำในทางอกุศลจิตจึงถูกระงับไป ไม่เกิดการสร้างภพสร้างชาติอีกต่อไป

  • มหัศจรรย์แห่งจิต

ติดต่อบูชา LINE : @namotasa

You cannot copy content of this page