-
” ไฟไหม้ครั้งนั้น ตั้งต้นที่ปลายถนน ซึ่งอยู่บนฝั่งตะวันออกของแม่น้ำแล้วกระโดดไปไหม้ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำด้วย แล้วไฟทั้งสองฝั่งก็วิ่งแข่งกันไปทางหัวถนน จนในที่สุด ไฟก็หยุดที่ต้นโพธิ์ต้นนั้น เป็นต้นไม้ดึกดำบรรพ์คู่บ้านคู่เมืองก็ว่าได้ ต้นสูงใหญ่ กิ่งก้านสาขาสามารถให้ความร่มรื่นได้ทั้งสองฝากถนน ทั้งๆ ที่โคนต้นไม้อยู่ฝั่งตะวันออกของถนนสายสำคัญ และต้นโพธิ์ต้นนั้นก็เป็นโพธิ์ที่มีความสำคัญ แบบเดียวกับ ” เจ้าพ่อหลักเมือง ” ของชาวกรุงเทพฯ ทุกวันนี้ที่โคนต้นมากมายก่ายกองไปด้วย เครื่องเซ่นสรวงบูชา ตุ๊กตา ช้าง ม้า ละคร พวงมาลัย และอื่นๆ สารพัดอย่าง แขวนห้อยรุงรังเต้มไปหมด กลิ่นหอมของดอกไม้และควันธูปนั้น เป็นสิ่งที่มีอยู่ตลอดกาล ทั้งกลางวันและกลางคืนตั้งแต่ไหนแต่ไร
- ถ้าเพียงแต่ ไฟไหม้ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำครั้งนั้น มาสิ้นสุดหยุดดับลงตรงต้นโพธิ์คู่บ้านคู่เมืองก็ไม่ต้องสงสัย ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายผู้มีศรัทธาเลื่อมใสในความศักดิ์สิทธิ์ของต้นโพธิ์นั้น ก็จะต้องโจษจันกันว่า อนานุภาพแห่งความศักดิ์สิทธิ์ของต้นโพธิ์นั้นที่ทำให้ไฟดับลงก่อนที่ไฟจะไหม้ต้นโพธิ์
-
ลักษณะอาการของไฟที่ได้ดับลง เป็นแนวเส้่นตรงเช่นนั้น มันเคยปรากฎขึ้นที่ไหนบ้างหรือไม่ นอกจากไฟที่ไหม้เมืองเพรชฯ เมื่อครั้งศตวรรษมาแล้วนั้น ไฟที่ไหม้บนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำซึ่งไหม้พร้อมกันนั้น มันก็ดับในระดับเส้นตรงเส้นเดียวกันกับฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเหมือนกัน
ในขณะที่ไฟกำลังไหม้นั้น ได้เห็นร่างใหญ่ปรากฎขึ้นบนยอดโพธิ์ มือถือธงใหญ่ หันหน้าไปทางปลายถนน คนผู้นั้นโบกธงไปมา หลายคนได้เห็นเช่นนั้นเหมือนกัน และผู้ที่ได้เห็นนั้นก็เป็นบุคคลที่ชาวบ้านชาวเมืองทั้งหลายเชื่อถือได้ ไฟไหม้ทั้งสองฝั่งแม่น้ำนั้นดับอยู่ในระดับเส้นตรงเดียวกัน อันมีต้นโพธิ์อยู่ตรงจุดกลาง ก็เพราะอภินิหารของเจ้าพ่อต้นโพธิ์ ซึ่งท่านโบกธงให้ไฟดับตรงแนวนั้นนั่นเอง “
เรื่องเล่าจากอ.พลูหลวง
ติดต่อบูชา LINE : @mayakarnlanna