-
ขนบธรรมเนียมเรื่องคุณไสยในล้านนา มีปรากฏเป็นหลักฐานไว้หลายกรณี แต่ที่เล่าขานกันมาสืบต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน เห็นจะไม่มีตำนานไหนร่ำลือเด่นชัด เท่ากรณีของพระนางจามเทวี ใช้ชายผ้าถุงพันรอบหมวกให้ขุนหลวงวิลังคะใส่ และใช้เหล้าใส่กระบอก ลอดหว่างขาเพื่อข่มคาถาอาคม ทำให้ไม่สามารถพุ่งหอกไปถึงนครลำพูนได้
-
หรือในตำนานสิบห้าราชวงศ์ ตอนพระยาร่วมจำแลงกายหลบหนีการจับกุมและตอนพระเจ้าติโลกราชสามารถจับตัวหมอไสยศาสตร์ที่เข้ามาทำพิธีได้ ไปจนถึงยันต์เทียนของกษัตริย์เชียงใหม่ ที่ปรากฏอยู่ในสมัยพระเมืองแก้ว ครองราชย์ระหว่างปี พ.ศ.2503 – 2064 โดยการสู้รบกับพม่า นอกจากจะใช้กำลังทหารแล้ว ยังใช้พลังไสยศาสตร์ ทำให้ไม่เสียเมืองแก่พม่าอีกด้วย
-
ไสยศาสตร์มีทั้งขาวและดำ มีการกระทำทั้งสร้างสรรค์และทำลาย มักกระทำเลียนแบบของจริง โดยอาศัยหลักการเปรียบเทียบความคิด เช่น เมื่อชายต้องการให้หญิงรักตน จะไปขอให้หมอไสยศาสตร์นำดินเหนียวมาปั้นหญิงและชายหันหน้าเข้าหากันและมัดติดกัน เสกคาถาแล้วนำไปฝังไว้ใต้บันไดบ้านหญิงสาว และเชื่อว่าหญิงจะรักชายทันที หรือในทางตรงกันข้าม ต้องการกระทำสิ่งร้ายต่อบุคคลใด ก็ทำหุ่นและสาปแช่งเข็มแทง ตัดคอ เผาไฟให้บุคคลนั้นตายในสามวันเจ็ดวัน โดยต้องมีเชื้อธาตุของผู้ที่จะกระทำฝังลงไว้ด้วย เช่นเส้นผม ไคล เล็บ (ปัจจุบันสามารถอธิบายในเชิงฟิสิกส์ได้จริง )
-
นอกจากการใช้คาถาอาคมเพื่อข่มหรือทำลายแล้ว ในล้านนายังมีความเชื่อ และพิธีกรรมปรากฏออกมาในรูปการใช้ยันต์เทียน ตะกรุด และผ้ายันต์ที่หลากหลาย รวมทั้งยันต์และพิธีผ่าจ้านด้วย
“ผ่าจ้าน” มาจากการพรากลูกช้างออกจากอกแม่ แต่คำว่า “ผ่าจ้าน” หมายถึงการทำให้แยกออกจากกันนั้น มิได้จำกัดเพียงเฉพาะช้างหรือสัตว์นั้น กับ “คน” ก็มีพิธีกรรมนี้ และไม่ได้ตีกรอบเฉพาะการพรากลูกออกจากแม่ ตรงกันข้าม การผ่าจ้านคน กลับมีข้อห้ามในเรื่องของการแยกแม่จากลูก แยกพี่จากน้องเสียด้วยซ้ำ หรือแม้แต่กับผัว–เมีย พิธีกรรมอันผสานกลมกลืนอย่างแยกไม่ออกกับวิถีพุทธ ยังมีคุณธรรมกำกับมิให้กระทำการผ่าจ้านความสัมพันธ์ทางสายเลือด และครอบครัวอย่างเด็ดขาด มิเช่นนั้นจะเป็นบาปใหญ่หลวง
- การผ่าจ้าน เป็นพิธีกรรมที่ช่วยปลดทุกข์ทางใจให้กับหญิงที่สามีนอกใจ ไปมีเมียใหม่ หากคนเป็นเมียหลวงมาขอให้หมอผ่าจ้านทำพิธีแยกผัวออกจากเมียน้อยกลับมาอยู่กับครอบครัวเดิม อาจมีเหตุผลเพียงพอต่อการประกอบพิธี แต่หากเมียน้อยมาขอให้แยกผัวออกจากเมียเก่า หมอที่มีคุณธรรมจะปฏิเสธอย่างเด็ดขาด และก่อนจะประกอบพิธีจะต้องมีการตรวจดูดวงชะตาของบุคคล ๆ นั้นด้วย หากเป็นผู้มีดวงแข็ง ก็จะทำผ่าจ้านไม่สำเร็จ
- ลักษณะของการทำยันต์เทียน ลงอักขระเขียนยันต์เป็นรูปหุ่นหญิงและชาย เขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของแต่ละคนไว้ โดยเขียนชื่อหญิงไว้ที่หุ่นหญิง ชื่อชายไว้ที่หุ่นชาย ต้องใช้เศษเล็บ เศษผม หรือเศษเสื้อผ้าของคน ๆ นั้นมาใส่ไว้ด้วย ปลุกเสกเรียกธาตุสาธยายคาถา แล้วนำหุ่นทั้งสองหันหลังชนกัน เสกคาถากำกับ ตัดแยกเอาเศษผู้ชายไปคลึงเป็นไส้เทียนของหญิง และนำเทียนไปจุดที่ปากแม่น้ำที่แยกจากกัน คนละฟากแม่น้ำ หรือจุดที่สองแพร่ง เพื่อให้คนทั้งสองเดินไปคนละทางโดยเชื่อกันว่าจะต้องจุดตอนกลางคืน ที่ขวัญของคนอ่อน พิธีกรรมจึงจะสัมฤทธิ์ผล
- อีกวิธีหนึ่งคือวิธีตัดกระดาษ แยกสามีของตนออกจากเมียน้อย ก็จะเขียนชื่อและวันเดือนปีเกิดของคนทั้งสองในกระดาษคนละฟาก และถือส่วนที่เป็นชื่อของฝ่ายชายไว้ แล้วตัดกระดาษให้ขาดโดยให้ชื่อฝ่ายหญิงหล่นลงไป จากนั้นก็มอบกระดาษที่เป็นชื่อฝ่ายชายคืนให้แก่ภรรยานำไปไว้ใต้หมอน ส่วนชื่อของภรรยาน้อยที่หล่นลงไป หมอผ่าจ้านก็จะเขียนข่มกำกับคาถาและเผาไฟเสีย
- บางตำราก็ใช้วิธีผ่าจ้านด้วยผลไม้ ที่สามารถตัดให้ขาดจากกันเป็น 2 ซีก ได้ เช่น มะนาว ส้ม ด้วยวิธีเขียนชื่อชายหญิงคนละฟากและบริกรรมคาถาตัดทั้งสองให้จากกัน และบางตำราใช้ปู 2 ตัว โดยเขียนชื่อชายหญิงหลังตะปูแต่ละตัว นำด้วยสายสิญจ์มาผูกปูติดกัน ว่าคาถาเสร็จก็ตัดสายสิญจ์ให้ปูทั้งสองแยกจากกันไม่กลับมาหากันอีกเลย
- วิธีทำมีหลายอย่าง เช่น ทำเทียน แล้วนำไปจุดทางแยก บ้านร้าง น้ำบ่อร้าง วัดร้าง กองฟอน
- เขียนชื่อใส่ประทัดยักษ์ จุดที่ทางแยก
- ทำเทียนแล้วตัดครึ่ง แยกไปจุดคนละฝั่งแม่น้ำ
- เรื่องรักๆใคร่ๆผัวๆเมียๆ เป็นเรื่องของสากลโลก คือมีความเป็นสากลทั่วๆไป เมื่อไม่ได้ดั่งใจ ไม่ได้ด้วยเล่ห์ก็กระทำด้วยกล ด้วยมนตรา คาถา ตามอำนาจปรารถนาแห่งจิตบุคคลนั้นๆ เอง
เทียนผ่าจ้านเป็นวิชาไสยศาสตร์ทางทำร้าย ทำลาย เพียงอ่านให้รู้ว่ามีจริง แต่มิควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว ไปกระทำเพื่อผูกเงื่อนกรรมให้ร้อยรัดแน่นขึ้น ซับซ้อนขึ้น สุดท้ายก็ไม่มีใครได้ดีได้สุข ได้เพียงทุกข์อยู่กับกองเวรกองกรรมอยู่เช่นนั้นเอง ” การอโหสิกรรม ” คือทางสายตรงของการหยุดเวร ตัดกรรมทั้งปวง