ช่างน่าเสียดายภพชาติของบุคคลผู้เปี่ยมบุญ มากด้วยปัญญา ผู้คนเหล่านั้นน่าจะได้สร้างเสริมบุญบารมีต่อไป เพื่อในวันหนึ่งข้างหน้าสามารถข้ามภพข้ามภูมิได้ แต่ต้องมาสะดุดกับบาปกรรมเพียงเล็กน้อยที่ขวางกั้นไว้ โดยเฉพาะวิบากกรรม ที่เกี่ยวกับความรักความสัมพันธ์แห่งกรรม
เพียงแค่ละความโกรธ ยอมอโหสิกรรมให้แก่คู่กรรม กระแสกรรมนั้นสามารถระงับยับยั้งลงได้ทันที!! แต่ด้วยความรัก โลภ โกรธ หลง ทำให้มืดบอด ไม่เข้าใจความจริงแท้ของโลก และด้วยแรงอาฆาต แรงน้อยเนื้อต่ำใจนั้น หมุนปั่นให้กระแสกรรมที่เคยผูกกันไว้ซ้ำๆ มาหลายชาติภพขมวดเกลียวหนาแน่นขึ้น ก่อให้เกิดทุกข์มากขึ้น อุปสรรคปัญหาชีวิตมากขึ้น เพราะสั่นสะเทือนมวลความคิดลบออกไปดึงดูดพลังงานในระดับเดียวกันเข้ามาตลอดเวลา และยังแผ่คลื่นแห่งกรรมพลังงานลบสะท้อนสะเทือนออกไปถึงคนในครอบครัว และทุกคนรอบ ๆ ตัวที่อาจต้องมารับผลแห่งวิบากไปด้วย สร้างเกลียวแห่งกรรมให้ซ้อนทับ แน่น หนา หนัก ทวีคูณเข้าไปอีก เกิดวิบากกรรมต่อเนื่องทวีกำลังมากขึ้นไปอีก ตัวเองจึงต้องพบกับวิบากกรรมที่รุนแรง เกิดความเจ็บป่วย ยากไร้ ความอับจนทนทุกข์หม่นหมอง โดดเดี่ยว ร้อนรุ่มมีไฟนรกสุมใจ
ที่เรามักจะพูดว่า คนนี้เป็นเจ้ากรรม คนนั้นเป็นนายเวร เรื่องร้ายๆ ที่เราอ้างว่า เกิดจากเจ้ากรรมนายเวรนั้น ความจริงแล้วเจ้าเวรเจ้ากรรมนั้นหาใช่ใครที่ไหนเลย ก็จิตของเรานี้เอง ที่คิดเอง ทำร้ายตัวเอง บันทึกไว้ทุกการกระทำของเราไว้เอง และโดยธรรมชาติของจิต มันมีสภาวะรู้อยู่แล้ว พลังจิตในระดับต่าง ๆ ของเรื่องราวทั้งหลายที่เราไปครุ่นคิด คุ้ยแคะ ย้ำคิดย้ำทำเฝ้าเพียรคิด นึก รู้สึกนี้เอง ที่จะไปดึงดูดเอาเหตุการณ์ซ้ำซากเก่าๆ กลับเข้ามา แค่เปลี่ยนเวลา สถานที่ ตัวแสดง แต่วนลูปอยู่เรื่องเดิมๆเช่นนั้นเอง ซ้ำซากทั้งในชาตินี้และหลายๆ ชาติภพ หากเราไม่ใจเด็ด กำหมัดกัดฟัน เคลียร์พลังงานแห่งกรรมเหล่านี้ให้สลายไป พลังงานกรรมนี้ก็จะติดตามเราไปอีกทุกชาติ ทุกภพ พลังงานกรรมทั้งดีและร้าย ล้วนเกิดจากความคิด การกระทำของเราเอง และจิตเรานี่เองที่ทำหน้าที่บันทึกทุกสิ่ง อย่างละเอียดทุกธุลีกรรม รอสะท้อนกลับมาหาเรา ตลอดทางแห่งเส้นเวลาของโลกกายภาพ เจ้ากรรมนายเวร หรือ เจ้าบุญนายคุณ นั้นแท้จริงก็คือ “จิต” ของเรานี้เองที่สร้างสรรค์เขาขึ้นมาให้เป็นตัวเป็นตน โดยเริ่มจาก ” พลังงาน “
เกลียวกรรม หรือ DNA แห่งกรรมนั้นซับซ้อน ซ้ำซ้อนมาก และตัวเราเองก็คือเจ้ากรรมนายเวรชนิดหนึ่ง ที่บรรพบุรุษของเราสรรค์สร้างขึ้นมาเช่นกัน คนรักของเรา ลูกของเรา เพื่อนของเรา ล้วนคือเจ้ากรรมนายเวร และเจ้าบุญนายคุณที่ถูกสรรพดวงจิต ในวงเวียนกรรมที่ซ้อนทับกัน สร้างกันและกันขึ้นมา นัวนุงอิรุงตุงนังไปหมด สืบค้นมาก คิดมาก ก็ปวดหัวมาก ทุกคนที่ย้อนอดีตชาติกลับไปได้ เมื่อกลับมาจึงมักดำเนินชีวิตได้ดีเกือบทุกคน เพราะอะไร เพราะเขากลับไปเห็นความบกพร่องของตนเองที่ผ่านๆมา เขาได้กลับไปเป็น ” ผู้ดู ” เขาจึงเห็นความจริงทุกมิติ เห็นความเลวของตัวเองที่เคยกระทำเหมือนกันเปี๊ยบ กับคนที่กระทำกับเขาอยู่ตอนนี้ เห็นความวนลูป เห็นหนังฉายซ้ำๆ เธอเป็นฉัน ฉันเปลี่ยนไปเป็นเธอ จนอนาถในชาติภพ ไม่อยากสร้างการเกิดอีก จึงละได้ง่ายซึ่งการผูกพันทางกรรมทั้งปวง อโหสิได้ ให้อภัยทุกสิ่งอย่างได้ง่ายๆ และข่าวดีก็คือ.. เราสลายวงจรกรรมทั้งหลายได้ง่ายมากๆ เพียงยอม เพียงศิโรราบ และอโหสิกรรมด้วยหัวใจให้ได้เท่านั้น พลังงานทั้งหลายจะสลายไปเลย ยกตัวอย่างเช่น…
ครอบครัวกรรม
สามีทำฉันเจ็บ ฉันโกรธ เกลียด เสียใจ ฉันจึงแปรเปลี่ยนพฤติกรรม แสดงความรักออกมาในภาพของ ” ความเกลียด เย็นชา ไม่ดูแลใส่ใจ กระแนะกระแหน กระทบกระทั่งเธอทั้งทางกาย ทางใจ จัดครบทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ลามเลยไปลงที่ลูก หลานต่อไป ไประบายอารมณ์ที่ลูกบ้าง ไปคาดเค้นพฤติกรรมลูกทดแทนสิ่งที่ตัวขาดบ้าง เอาพลังกรรมทางความคิดของตัวเองไปลงที่ลูกบ้าง และผลก็คือ ลูกหลานได้รับผลกรรมเหล่านั้นต่อไป เป็นทายาทปอบ ส่งต่อกรรมกันต่อเป็นทอด ๆ ข้ามภพข้ามชาติ เมื่อเราใกล้ตาย จิตสุดท้ายก่อนตายก็อยากลับมาเอาคืนสามีที่ทำให้เจ็บ ด้วยการทำให้เขาเจ็บแบบเรา หรือเจ็บมากกว่า…
พอเขาเจ็บ เขาบันทึกกรรมความรู้สึกไว้ รอแก้แค้นเรากลับอีก วนๆ ไป เป็นอยู่แบบนี้ข้ามชาติ ข้ามภพ หนังวนซ้ำๆอยู่แบบนี้ ไม่มีวันจบจนกว่าจะอโหสิ ลูกๆ ก็บันทึกพฤติกรรมทั้งหมดที่ได้รับกระแสเอาไว้ ไม่มีตกหายสักเม็ด เกิดเป็นชะตากรรมรันทดของลูกหลานต่อไป เขาก็ไปสร้างทุกข์สภาวะกับคนรักของเขา ครอบครัวของเขาอีกต่อๆไป แล้วไหนจะกรรมซ้อนกรรมระหว่างพ่อลูก แม่ลูกอีก มันผูก พัน นัวเนียอยู่แบบนี้… เราเป็นผู้สร้างก็ต้องทุกข์กับทั้งสามี และต้องตามไปทุกข์กับสารพัดเรื่องราวปัญหาของลูกๆ อีก ซึ่งทั้งหมดก็เกิดจากเรา เกิดจาก ” ความคิด ” และการกระทำของเราทั้งสิ้น!!
นี่พิมพ์ให้เห็นได้แค่มิติเดียว แต่สภาวะกรรมจริงๆ นั้น มันซ้อนทับในหลากมิติ แค่คิดก็เกิดชาติภพใหม่แล้ว เกิดพล๊อตเรื่องใหม่ๆ ตัวละครใหม่ๆ สร้างรอเราเข้าไปกระทบอีกแล้ว อ่านเรื่องกรรมเหนื่อยหรือยัง? ตราบใดที่เรายังทนได้ เราก็จะกระทำพฤติกรรมลบ ซ้ำๆ และดึงดูดเรื่องราวซ้ำๆ เข้ามาในชีวิตซ้ำๆ อยู่แบบนี้ จนกว่าพลังงานติดค้างทั้งหมดจะถูกสลายไปด้วย ” อโหสิ ” ที่ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ต้องออกมาจากความรู้สึกจริงๆ จากก้นบึ้งหัวใจ ซึ่งมนุษย์มักถูกกิเลส อารมณ์ หลอกล่อให้ออกมาจากบ่วงกรรมไม่ได้ ยอมทนทุกข์ ทรมานชั่วกัปป์ชั่วกัลป์ อยู่ในวัฏสังสารของมิติโลกอยู่เช่นนี้ เพียงอโหสิด้วยหัวใจได้เมื่อใด ก็ขึ้นสวรรค์ได้ทันที เหมือนวิญญาณผีอาฆาตที่เราดูให้หนังไทยนั่นเลย
” กรรม “ มีเราเป็นผู้ผูกขึ้นมา เราก็ต้องเป็นคนแก้กรรมนั้นด้วยตัวของเราเอง ใครบอกกรรมแก้ไม่ได้ อันนั้นเรื่องของเขา แต่กรรมของเรา เราแก้ได้ แก้ง่ายๆ แค่อโหสิกรรม อะไรมากระทบก็อโหสิ อโหสิ ไม่ติด ไม่เก็บ ไม่กัก ปล่อย ปล่อย ปล่อย อโหสิ ฝึกบ่อยๆ คลายบ่อยๆ จิตก็คุ้นชินกับการไม่ติด ไม่ยึด จิตโปร่ง โล่ง เบา จิตก็สบาย มีพลังบริสุทธิ์ไปคิด ไปทำเรื่องงดงามให้สำเร็จ ข้างในติดขัดขุ่นมัว โลกภายนอกก็มืดมัวติดขัด หากข้างในสวยงาม ปลอดโปร่ง โลกภายนอกก็สวยงาม มีแต่ความเบิกบานน่ายินดีเฉกเช่นเดียวกัน